เมื่อทุกเป้าหมายที่ตั้งใจ ต้องอาศัย ‘สุขภาพ’ เป็นรากฐานสำคัญ เพราะหากสุขภาพเกิดพังระหว่างทาง การจะไปถึงเส้นชัยอาจต้องใช้เวลานานกว่าเดิม หรือยากเกินที่จะเป็นจริง
ซึ่งปัญหาสุขภาพของผู้หญิงไม่ได้มีเพียงแค่ไขมันในเลือดสูง หรือโรคเบาหวาน ไหนจะอาการปวดท้องประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ กระเพาะปัสสาวะอักเสบที่มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงบ่อยๆ ความเสี่ยงโรคร้ายมากมาย ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ รวมถึงภาวะพร่องฮอร์โมนที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัยทอง ที่ทำให้คนอารมณ์ดีกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด และยังอาจนำไปสู่โรคอื่นๆ ตามมา
การเตรียมความพร้อมด้วยการตรวจคัดกรองจะช่วยค้นหาความผิดปกติและรอยโรคที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจดิจิตอลแมมโมแกรม อัลตร้าซาวด์เต้านม ตรวจภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ตรวจหาสาเหตุอาการปวดท้องประจำเดือน อัลตร้าซาวด์ช่องท้อง หรือแม้แต่การตรวจวิเคราะห์ฮอร์โมน
Highlight Packages
FAQs
ใครบ้างที่ควรตรวจภายใน?
ผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจภายในทุกปี หรือหากมีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน ปวดท้องน้อยแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ตกขาวหรือประจำเดือนผิดปกติ คลำพบก้อนที่ท้องน้อย ท้องอืดบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
การตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูก & รังไข่ มีกี่วิธี?
การตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่ทำได้ 2 วิธี คือ 1.ตรวจทางหน้าท้อง กับ 2.ตรวจทางช่องคลอด ซึ่งวิธีที่ 2 นี้ แพทย์จะทำการสอดอุปกรณ์อัลตร้าซาวด์เข้าไปทางช่องคลอด ทำให้มองเห็นภาพของมดลูกและรังไข่จากจอมอนิเตอร์ได้ชัดเจนกว่า ผลการตรวจจึงแม่นยำกว่าการตรวจทางหน้าท้อง
การตรวจภายในมีประโยชน์อย่างไร?
ช่วยคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อในช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน เริม โรคพยาธิในช่องคลอดจากการติดเชื้อโปโตรซัว เนื้องอกมดลูก เนื้องอกรังไข่ ภาวะมดลูกหย่อน ตรวจเพื่อประเมินความเสี่ยงขณะตั้งครรภ์
ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และต้องตรวจบ่อยแค่ไหน?
ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไปควรเฝ้าระวังมะเร็งเต้านม อายุ 30-35 ปี ควรตรวจอัลตร้าซาวด์เต้านมปีละครั้ง อายุ 35 ปีขึ้นไปควรตรวจดิจิตอลแมมโมแกรมร่วมกับอัลตร้าซาวด์เต้านมปีละครั้ง หากมีประวัติคนในครอบครัวสายตรง เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นมะเร็งเต้านม ควรเริ่มตรวจให้เร็วขึ้นโดยปรึกษาแพทย์
ตรวจดิจิตอลแมมโมแกรม ต่างกับอัลตราซาวด์เต้านมอย่างไร?
การตรวจดิจิตอลแมมโมแกรมเป็นการตรวจโดยใช้รังสี สามารถเห็นหินปูนขนาดเล็กที่ผิดปกติในเต้านม ซึ่งอาจไม่พบจากการอัลตราซาวด์ ส่วนการตรวจอัลตราซาวด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม สามารถแยกเนื้อเยื่อเต้านมปกติกับก้อนในเต้านมได้ และบอกได้ว่าก้อนเนื้อนั้นมีอันตรายหรือไม่
ทำดิจิตอลแมมโมแกรม เจ็บมากมั้ย ถ้ามีประจำเดือนอยู่ตรวจได้หรือเปล่า?
ความเจ็บในการตรวจดิจิตอลทำแมมโมแกรมขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของเนื้อเต้านม หากกำลังมีประจำเดือนสามารถรับการตรวจได้ตามปกติ เพียงแต่ช่วงใกล้มีประจำเดือนหรือกำลังมีประจำเดือน อาจรู้สึกคัดตึงเต้านมตามธรรมชาติ จึงทำให้รู้สึกเจ็บกว่าปกติได้ขณะตรวจ
เสริมหน้าอกมา ทำดิจิตอลแมมโมแกรมได้หรือเปล่า?
สามารถทำดิจิตอลแมมโมแกรมได้ โดยแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่รังสีก่อนตรวจ เพื่อใช้เทคนิคในการดูเนื้อเยื่อเต้านมมากขึ้นจากปกติ ส่วนผู้ที่กังวลว่าเครื่องจะกดเต้านมจนทำให้ซิลิโคนแตกหรือไม่นั้น ในความเป็นจริงแล้วซิลิโคนมีความยืดหยุ่นมากและจะไม่แตกจากการทำแมมโมแกรม
การตรวจ ThinPrep Pap Test เจ็บหรือไม่?
ในการตรวจ ThinPrep เป็นวิธีการตรวจหาเชื้อมะเร็งปากมดลูก (HPV) ที่ง่ายและไม่เจ็บ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือเล็กๆ สอดผ่านช่องคลอดและป้ายเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะพบเซลล์มะเร็งในระยะแรกเริ่มได้ดีกว่าการตรวจแปปสเมียร์แบบเดิมถึง 65%
วัคซีนมะเร็งปากมดลูก (HPV) ต้องฉีดกี่เข็ม?
การฉีดวัคซีน HPV แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 9 ปีขึ้นไป โดยในวัยรุ่นที่แข็งแรงดี หากเริ่มต้นฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี ให้ฉีด 2 เข็ม ในเดือนที่ 0 และเดือนที่ 6-12 สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปหรือในผู้ใหญ่ ให้ฉีด 3 เข็ม ในเดือนที่ 0, 1-2 และเดือนที่ 6
ปวดท้องประจำเดือน จำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่?
หากรู้สึกปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงในช่วง 1-2 วันแรก มีเลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ รับประทานยาแล้วก็ยังไม่หายปวด หรือมีอาการติดเชื้อ เช่น ตกขาวมีกลิ่น คันบริเวณช่องคลอด ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณของการการปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติ
รอบเดือนมาช้า หรือบางครั้งไม่มา เกิดจากสาเหตุอะไร?
โดยปกติแล้วรอบเดือนจะห่างกันทุกๆ 28 วัน เลื่อนได้บวกลบไม่เกิน 7 วัน ถ้ารอบเดือนของคุณผู้หญฺิงมาภายใน 21-35 วัน ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ หากรู้สึกเป็นกังวลให้ลองสำรวจตัวเองว่ามีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไร และมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือไม่
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร?
เกิดจากการกลั้นปัสสาวะบ่อย ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้มากขึ้น รวมไปถึงการชำระล้างอวัยวะเพศหญิงไม่ถูกวิธี โดยหลังจากทำธรุะเสร็จควรทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
อาการแบบไหน? เสี่ยงกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ปวดท้องน้อย, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, รู้สึกแสบขณะปัสสาวะ, ปัสสาวะเป็นเลือด หรือ ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปัสสาวะออกได้ไม่สุด หากมีอาการใดอาการหนึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและทำการรักษา
หินปูนในหลอดเลือดหัวใจ บอกอะไรได้บ้าง?
การมีหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ หรือค่า Calcium Score สูงกว่า 400 จะมีแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายใน 2-5 ปี การตรวจ CT Calcium Score หาหินปูนหรือแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจจึงช่วยป้องกันความเสี่ยงนี้ได้
ฟอกสีฟันทำให้ฟันขาวขึ้นจริงหรือไม่?
การฟอกสีฟันช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้จริง ช่วยทำให้ฟันกลับมาขาวสะอาด สดใส ส่งเสริมให้มีบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งผลลัพธ์จากการฟอกสีฟันจะอยู่ได้ยาวนานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับระดับสีที่เป็นอยู่ของฟัน น้ำยาฟอกสีฟัน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ และการดูแลสุขภาพช่องปากของแต่ละบุคคล
การฟอกสีฟันมีผลข้างเคียงหรือไม่?
การฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์ จะไม่ส่งผลอันตรายต่อโครงสร้างฟัน และไม่ได้ทำให้ผิวฟันเปราะบางลงด้วย แต่อาจจะมีอาการเสียวฟันในระหว่างทำและหลังทำได้ ซึ่งอาการจะหายไปภายใน 1-2 วัน แต่การฟอกสีฟันด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันมาทำเองอาจมีอันตรายต่อเหงือก เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ไม่พอดีกับแต่ละบุคคล หรือทำไม่ถูกวิธี
การให้วิตามินทางหลอดเลือด แตกต่างกับการรับประทานวิตามินทั่วไปอย่างไร?
การให้วิตามินทางหลอดเลือด เป็นการให้วิตามินที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ผ่านทางหลอดเลือดดำ จุดเด่นคือ วิตามินและเกลือแร่สามารถเข้าสู่หลอดเลือดและเข้าไปบำรุงร่างกายได้ในทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย การดูดซึม หรือถูกคัดกรองใดๆ หลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ โดยไม่มีการสะสมหรือตกค้างเป็นอันตรายอยู่ในร่างกาย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
โรงพยาบาลพญาไท 1, 2, 3, นวมินทร์ โทร. 1772
โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา โทร. 038-317-333 ต่อ 4127 หรือ 088-5000-205
