Ischemic Stroke and Risk for Paralysis

<p><span style="color: #00826a;"><strong>โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke)</strong></span> ยังคงเป็นโรคที่มีแนวโน้มของอัตราการพิการ และการเสียชีวิตสูงขึ้นทุกปี จนต้องมีการกำหนดวันอัมพาตโลก (29 ตุลาคมของทุกปี) เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้ตื่นตัว ปกป้องตัวเองและคนที่รักจากพฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจกลายเป็นภาระของครอบครัวในระยะยาวในอนาคต ยังไม่นับเรื่องคุณภาพชีวิตต้องเข้าสู่โหมดวิกฤตไปตลอดกาล</p>
<p>&nbsp;</p>
<p>จากสถิติพบว่าในปี 2552 ประชากรไทยทั้งหญิงและชาย เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองมากเป็นอันดับ 1 และเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการอีกด้วย คิดเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดสมองตีบตันร้อยละ 70-80 ผู้ป่วยที่เลือดออกในสมองร้อยละ 20–30 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะความดันโลหิตสูงได้มากที่สุด</p>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองตีบ เลี่ยงได้ VS เลี่ยงไม่ได้</span></h2>
<p>สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบว่า โรคหลอดเลือดสมองตีบเกิดจากความเสื่อมของผนังหลอดเลือด หรือมีไขมันมาเกาะบริเวณผนังหลอดเลือดด้านใน ซึ่งพบได้ทั้งในหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดใหญ่ที่ลำคอ ทำให้ขนาดหรือรูของหลอดเลือดตีบหรือแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ แบ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญได้ 2 ประเภท ดังนี้</p>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้</span></h2>
<ul>
<li>อายุ หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ เนื่องจากหลอดเลือดเริ่มเสื่อมสภาพลง ยิ่งอายุมากขึ้นอัตราเสี่ยงยิ่งเพิ่มขึ้น</li>
<li>เชื้อชาติ ในทางการแพทย์พบว่าผู้ที่มีผิวสีเข้มจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้มากกว่าผู้ที่มีผิวสีขาว</li>
<li>พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป</li>
</ul>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้</span></h2>
<ul>
<li>ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง</li>
<li>โรคเบาหวาน เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ทั่วร่างกาย</li>
<li>ไขมันในเลือด เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดอุดตัน</li>
<li>การสูบบุหรี่ พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดเปราะ</li>
<li>การดื่มสุรา พบว่าผู้ที่ดื่มปานกลางจนถึงดื่มจัด จะมีอัตราเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม</li>
<li>ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<p>นอกจากนี้ยังเกิดได้ง่ายกับผู้ป่วยโรคหัวใจชนิดที่เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในห้องหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial Fibrillation, โรคลิ้นหัวใจ และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญทำให้ลิ่มเลือดหลุดจากหัวใจไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดที่ต้องไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดและสูญเสียการควบคุม จนอวัยวะต่างๆ เริ่มทำงานผิดปกติ หรือที่เราเรียกว่าอัมพฤกษ์ อัมพาตนั่นเอง</p>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">วินิจฉัยให้แน่ใจว่าใช่..โรคหลอดเลือดสมองตีบ</span></h2>
<p>การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ถือเป็นกระบวนการที่แพทย์จำเป็นต้องวินิจฉัยหลายขั้นตอน เพื่อนำมาสนับสนุนการวิเคราะห์โรค โดยมีขั้นตอนการวินิจฉัย ดังนี้</p>
<ul>
<li>ซักประวัติจากผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย เกี่ยวกับอาการและระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ ตลอดจนประวัติการใช้ยาประจำและโรคประจำตัว</li>
<li>การตรวจร่างกาย ได้แก่ วัดความดันโลหิต การหายใจ อุณหภูมิร่างกาย การฟังเสียงหัวใจเต้น รวมถึงการทดสอบระดับความรู้สึกตัว โดยสังเกตจากการพูดคุยโต้ตอบ การทดสอบกำลังของกล้ามเนื้อ แขนขา ทดสอบประสาทรับความรู้สึกที่ผิวหนังว่ามีอาการชา หรือรับความรู้สึกได้มากน้อยเพียงใด เป็นต้น</li>
<li>การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) เป็นการตรวจที่ทำให้สามารถแยกประเภทโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างชัดเจน ตลอดจนขนาดและตำแหน่งของเนื้อสมองที่ถูกทำลายร่วมด้วย</li>
<li>การอัลตราซาวนด์หลอดเลือดคาโรติด (Carotid Duplex Ultrasound) เป็นการตรวจหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณลำคอ เพื่อประเมินภาวะตีบตันของหลอดเลือด</li>
<li>CT Angiography หรือการฉีดสีและเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อดูพยาธิสภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หากพบว่ามีการตีบของหลอดเลือดเกิน 50% แพทย์อาจใช้วิธีรักษาด้วยการทำบอลลูน</li>
<li>การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ  การเอกซเรย์ทรวงอก และการตรวจเลือดต่างๆ เพื่อประเมินสภาพของผู้ป่วยสำหรับให้การรักษาต่อไป</li>
</ul>
<p>เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่แม่นยำ ทำให้แพทย์สามารถประเมินและวางแผนวิธีรักษาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตัวผู้ป่วยเอง</p>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">โรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาอย่างไรให้มีชีวิตต่อ..</span></h2>
<p>แนวทางการรักษาของ<em><span style="color: #00826a;">โ<strong>รคหลอดเลือดสมองตีบ </strong></span></em>ว่า เป้าหมายของการรักษา<span style="color: #00826a;"><strong>โรคสมองขาดเลือด</strong></span> หรือ <span style="color: #00826a;"><strong>ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ</strong></span>นั้น คือการทำให้เลือดสามารถไหลกลับไปเลี้ยงที่สมองได้อีกครั้ง ด้วยวิธีการ ดังนี้</p>
<ul>
<li><span style="color: #00826a;"><strong>การให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ</strong></span> วิธีนี้จะได้ผลดีต้องทำภายในระยะเวลา 3-4.5 ชั่วโมง นับตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ เพื่อละลายลิ่มเลือดที่ปิดกั้นหลอดเลือดอยู่ออก ยิ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็ว อัตราการเสียชีวิตหรือพิการก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น</li>
<li><strong><span style="color: #00826a;">การให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดแดง</span></strong> เป็นการให้ตัวยาสัมผัสกับลิ่มเลือดโดยตรง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินกว่าจะรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ และควรทำภายในระยะเวลา 6 ชั่วโมง ตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ โดยแพทย์จะฉีดสารทึบรังสี เพื่อให้เห็นพยาธิสภาพของหลอดเลือด ก่อนจะฉีดยาไปยังลิ่มเลือดโดยตรงผ่านทางสายสวน</li>
<li><span style="color: #00826a;"><strong>การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด</strong></span> เพื่อป้องกันการเกิดอาการซ้ำในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือดที่หลุดมาจากหัวใจ</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<p>ก่อนให้การรักษาทุกครั้ง แพทย์จะตรวจข้อบ่งชี้การให้ยากับผู้ป่วยอย่างละเอียด พร้อมอธิบายให้ญาติผู้ป่วยรับทราบเพื่อตัดสินใจ และลงนามในหนังสืออนุญาตให้รักษาตามแพทย์เห็นสมควร</p>
<h2></h2>
<h2 style="color: #008080;"><span style="color: #00826a;">โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบ (Carotid Stenosis) รักษาอย่างไรให้ได้ไปต่อ..</span></h2>
<p>หลอดเลือดแดงใหญ่มีหน้าที่สำคัญในการลำเลียงเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงสมอง เมื่อมีคราบตะกรัน (Plaque) หรือไขมันไปเกาะ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จนสมองขาดเลือดได้ในที่สุด ซึ่งแพทย์สามารถรักษาผู้ป่วยได้โดยการเปิดรูหลอดเลือดแดงใหญ่ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้อีกครั้ง ด้วยวิธีการ ดังนี้</p>
<ul>
<li><strong><span style="color: #00826a;">การผ่าตัด (Carotid Endarterectomy)</span></strong> คือ การผ่าตัดเอาคราบตะกรันในหลอดเลือดแดงออก โดยแพทย์จะให้ยาสลบหรือฉีดยาชาเฉพาะที่ก่อนการผ่าตัดทุกครั้ง ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บตลอดการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงตีบรุนแรง และในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงตีบมากกว่าร้อยละ 60 นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถลดการเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ดีกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว</li>
<li><span style="color: #00826a;"><strong>การทำบอลลูนถ่างขยายหลอดเลือด (Carotid Stenting)</strong></span> คือ การรักษาโดยการสวนหลอดเลือดแดงที่บริเวณขาหนีบไล่ไปจนถึงตำแหน่งที่มีการตีบ จากนั้นแพทย์จะทำการฉีดสารทึบรังสีและทำให้บอลลูนถ่างออก เพื่อขยายหลอดเลือดให้คราบตะกรันเบียดชิดผนังหลอดเลือด เพื่อเปิดทางของหลอดเลือดให้กว้างขึ้น แล้วจึงใส่ขดลวดขนาดเล็ก (Stent)  ค้ำหลอดเลือดบริเวณนั้นไว้เพื่อป้องกันการตีบซ้ำ ช่วยให้เลือดไหลผ่านไปเลี้ยงสมองได้สะดวกขึ้น</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<p>แม้ความก้าวหน้าในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีจะรุกหน้าไปมาก แต่คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือใช้ชีวิตที่เหลือเหมือนตายทั้งเป็น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง มีโรคประจำตัวที่สัมพันธ์ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ ควรหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี อย่าปล่อยให้โรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ</p>


โรคหลอดเลือดสมองเป็นต้นเหตุของอัมพฤกษ์อัมพาต มีปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อาจเลี่่ยงได้คืออายุ เชื้อชาติ และพันธุกรรม ทางที่ดีควรตรวจเช็คร่างกายแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล

โรคหลอดเลือดสมองตีบ รีบรักษา ลดปัญหาเสี่ยงอัมพาต

Tel

Email

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล