ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำเป็นต้องตรวจอะไรบ้างนะ

<h2><span style="color: #00826a;"><span style="color: #00826a;">โรคเบาหวานคืออะไร</span><strong><br />
</strong></span></h2>
<p>เบาหวาน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมีปริมาณสูงขึ้น ขณะที่เนื้อเยื่อของร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลนั้นไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วน้ำตาลจะเข้าสู่เซลส์ของร่างกายโดยการควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน และเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในที่สุดก็จะล้นออกมาในปัสสาวะ ทำให้สามารถตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะได้ การมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานนั้น จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้แทบทุกระบบ เช่น ตา ไต ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น</p>
<h2><span style="color: #00826a;">การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>การวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ สามารถทำได้โดยการตรวจระดับกลูโคสในพลาสม่า ดังนี้</p>
<ol>
<li>ในกรณีมีอาการโรคเบาหวานชัดเจน จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน เมื่อระดับกลูโคสในพลาสม่ามากกว่า 200 มก./ดล. เพียง 1 ครั้ง</li>
<li>ในกรณีที่ไม่มีอาการเลย ระดับพลาสม่ากลูโคสหลังอดอาหารครบ 8 ชั่วโมง ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล. 2 ครั้ง ค่าระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) ≥ 6.5 ขึ้นไป ระดับกลูโคสระหว่าง 100-125 มก/ดล. ถือว่าผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่อาจเกิดโรคเบาหวานได้ ควรได้รับการตรวจต่อเนื่องเป็นระยะ</li>
</ol>
<h2><span style="color: #00826a;">หลักการควบคุมเบาหวาน</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>การควบคุมโรคเบาหวานประกอบด้วย การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การรักษาโดยการใช้ยา การควบคุมโรคเบาหวานอย่างเข้มงวดจะช่วยป้องกันอาการและการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรมารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับยา และตรวจหาอาการแทรกซ้อนต่างๆ เพื่อรับการรักษาและควบคุมอาการตั้งแต่ระยะแรก</p>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>ตารางแสดงระดับเป้าหมายและความถี่ของการตรวจที่จำเป็นในผู้ป่วยเบาหวาน</strong></span></p>
<table style="border-collapse: collapse; width: 100.075%; height: 411px;">
<tbody>
<tr>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;"><strong>รายการตรวจ</strong></td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;"><strong>ความถี่ในการตรวจ</strong></td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;"><strong>เป้าหมายของการตรวจ</strong></td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ทุก 1-3 เดือน</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">80-120 มก./ดล.</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">น้ำตาลเฉลี่ยสะสมHbA1c</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ทุก 3 เดือน</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">≤ 7%</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">ไขมันแอลดีแอล (LDL-cholesterol)</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">&lt; 100 มก./ดล</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">ไขมันไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride)</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">&lt; 150 มก./ดล</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">อัลบูมินในปัสสาวะ(Microalbumin)</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ตรวจไม่พบอัลบูมิน</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">ครีอาตินีน(Creatinine)</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ผลอยู่ในเกณฑ์ปกติ</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">คลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG)</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ผลอยู่ในเกณฑ์ปกติ</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">การตรวจจอประสาทตา</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ผลการตรวจปกติ</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">การตรวจความดันโลหิต</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ทุก 1-3 เดือน</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">&lt; 130/80 mmHg</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 33.3333%;">การตรวจเท้า</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">อย่างน้อยทุก 3-6 เดือน</td>
<td style="width: 33.3333%; text-align: center;">ผลการตรวจปกติ</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<h2><span style="color: #00826a;">น้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c)</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>น้ำตาลเฉลี่ยสะสม เป็นค่าปริมาณน้ำตาลที่จับรวมกับโปรตีนในเม็ดเลือดแดง เป็นค่าที่บอกถึง ระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ย ในช่วง 8-12 สัปดาห์ ก่อนการตรวจ เป็นค่าที่ใช้ประเมินผลการควบคุมเบาหวานได้ดีกว่าการตรวจน้ำตาลในเลือดเพียงอย่างเดียว</p>
<h2><span style="color: #00826a;">อัลบูมินในปัสสาวะ</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>ภาวะไตเสื่อมในระยะต้นๆ จะไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ การตรวจทางห้องปฎิบัติการ โดยการตรวจปัสสาวะจะเริ่มพบอัลบูมินหรือไข่ขาวในปัสสาวะ ดังนั้นการตรวจไข่ขาวในปัสสาวะจึงมีความสำคัญมากในการที่จะพบความผิดปกติของไตในระยะแรกเริ่ม</p>
<h2><span style="color: #00826a;"><strong><span style="color: #00826a;">ครีอาตินีน(Creatinine)</span><br />
</strong></span></h2>
<p>เป็นการตรวจเลือดเพื่อประเมินสมรรถภาพของไตนั้น ไตจะต้องเสื่อมมากกว่าร้อยละ 70 ระดับของสารพิษสะสมจึงเริ่มมีมากขึ้นให้วัดได้</p>
<h2><span style="color: #00826a;">การตรวจจอประสาทตา<strong><br />
</strong></span></h2>
<p>ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจทำให้เกิดความเสื่อมในหลอดเลือดขนาดเล็กที่จอรับภาพด้านหลังของดวงตา ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้ ภาวะเบาหวานขึ้นตาสามารถรักษาได้ด้วยการยิงเลเซอร์ การตรวจและรักษาโดยเร็วจะป้องกันจอรับภาพเสื่อมได้</p>
<h2><span style="color: #00826a;">การตรวจเท้า</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีปัญหาเรื่องเส้นประสาทที่ปลายเท้าเสื่อม ซึ่งหากมีการบาดเจ็บที่เท้า อาจไม่ทราบหรือไม่รู้สึก นอกจากนี้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงปลายเท้าในผู้ป่วยเหล่านี้มักตีบตัน ทำให้สารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณเท้าลดน้อยลง ดังนั้นการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจึงอาจกลายเป็นแผลร้ายแรงที่รักษาได้ยาก หากขาดการดูแลรักษาจากแพทย์ แผลนั้นอาจรุนแรงจนถึงขั้นต้องตัดเท้า</p>
<h2><span style="color: #00826a;">แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล (LDL cholesterol)</span><strong><span style="color: #00826a;"><br />
</span></strong></h2>
<p>มีไขมันคอเลสเตอรอลที่มากเกินไปจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย เช่น หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดเลือด และเกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ ส่วน แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบแข็ง พบว่า ระดับ แอล ดี แอล คอเลสเตอรอล ยิ่งสูง ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น</p>
<p>&nbsp;</p>
<div style="text-align: right;"><span style="color: #00826a;"><strong>พญ. อยุทธินี สิงหโกวินท์</strong></span></div>
<div style="text-align: right;">แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม</div>
<div style="text-align: right;">ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลพญาไท 2</div>


เบาหวาน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากการมีน้ำตาลในเลือดสูง ขณะที่เนื้อเยื่อของร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลนั้นไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้นานๆ จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนกับ ตา ไต ระบบประสาท ระบบหัวใจ

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำเป็นต้องตรวจอะไรบ้างนะ

Tel

Email

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล