โรคพาร์กินสัน คืออะไร?
พาร์กินสัน เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์
โรคพาร์กินสัน เป็นการเสื่อมของเซลล์สมองบริเวณแกนสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โดปามีน (Dopamine) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อสารเคมีในสมองเสียสมดุลไป จึงทำให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ
อัตราการเกิดโรคพาร์กินสัน
พบผู้ป่วยพาร์กินสันได้ 1 คนในประชากร 1,000 คน สัดส่วนผู้ชายเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิง 1.1:1 และมักพบโรคพาร์กินสัน ได้ในผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป
ปัจจัยเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่ใช้ยาทางจิตเวชบางประเภท
- ผู้ที่มีประวัติอุบัติเหตุทางศีรษะ
- อาชีพที่เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนศีรษะ เช่น นักมวย นักฟุตบอล
- พันธุกรรม พบเป็นส่วนน้อย
อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
- อาการสั่น จะสั่นในขณะอยู่เฉยๆ หรือขณะพัก
- กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง การเคลื่อนไหวช้า
- ก้าวขาลำบาก ก้าวเท้าสั้นๆ หกล้มง่าย
อาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
- นอนละเมอ ฝันร้ายบ่อยๆ
- ท้องผูก เรื้อรัง
- ภาวะซึมเศร้า
- พูดเสียงเบา พูดช้าลง
- ผู้ที่เป็นมากอาจมีปัญหาการกลืนลำบาก สำลักบ่อย
ผลกระทบจากโรคพาร์กินสัน
- ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เนื่องจากเคลื่อนไหวลำบาก อาจทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองไม่ได้ดีเหมือนเดิม
- เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นการหกล้ม ทำให้ได้รับบาดเจ็บ
- ผลกระทบทางจิตใจ เมื่อทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองไม่ได้ เข้าสังคมไม่ได้
- มีผลกระทบทางสังคม เข้าสังคมลำบากขึ้น อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการพูดการสื่อสาร มีอาการสั่นทำให้เสียบุคลิก
- ผลกระทบต่อครอบครัว ที่ต้องสละเวลามาช่วยดูแล อาจเพิ่มความกังวลของคนในครอบครัว
- กระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทำงานไม่ได้เหมือนเดิม และต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
การตรวจวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน
- จากการซักประวัติ ตรวจอาการ ตรวจร่างกายทางระบบประสาท
- เอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Brain) เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายพาร์กินสัน
- การตรวจ PET Brain F-Dopa เป็นการตรวจการทำงานของสมองตรวจวัดความผิดปกติของสารโดปามีนในสมองซึ่งไม่จำเป็นจะต้องตรวจทุกราย แพทย์อาจพิจารณาเฉพาะราย
การรักษาโรคพาร์กินสัน
- การรักษาด้วยยา
เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เป็นยาที่ทดแทนหรือปรับสมดุลย์ของสารโดปามีนในสมอง แต่ไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่เสื่อมฟื้นตัวมาได้ ต้องมาพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อปรับยาให้สอดคล้องกับอาการและกิจวัตรประจำวัน
การทำกายภาพบำบัดและการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยพาร์กินสัน
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น การฝึกเดิน การฝึกพูด การฝึกกลืน วิ่ง ปั่นจักรยาน
การผ่าตัดรักษาพาร์กินสัน
เมื่อการรักษาด้วยยาไปนานๆ อาจเกิดการดื้อยา หากแพทย์ปรับการให้ยาแล้วทำให้อาการดีขึ้น ก็จะรักษาด้วยยาต่อไป แต่หากรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จะพิจารณาการผ่าตัด ด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation, DBS)
การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation, DBS)
แพทย์จะพิจารณาผ่าตัด (DBS) ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมอาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้วยยาได้แล้ว ยาอาจหมดฤทธิ์เร็วเกินไป มีอาการยุกยิกจากยา หรือผู้ป่วยมีผลข้างเคียงจากยามาก
การผ่าตัด (DBS) เป็นการรักษาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าในสมองส่วนลึก โดยแพทย์จะเจาะรูเล็กๆที่กะโหลกศีรษะ 2 รู ใส่สายไฟไว้ที่ในสมองโดยมีสายเชื่อมต่อผ่านใต้หนังศีรษะผ่านลงมาที่คอและหน้าอก เชื่อมเข้ากับตัวเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ฝังไว้ที่หน้าอก ทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกไปกระตุ้นสมอง
ในขณะผ่าตัด เจาะรูกะโหลก แพทย์ให้ยาที่ทำให้หลับในระยะแรก และจะรู้สึกตัวในระหว่างฝังเครื่อง เพื่อให้แพทย์ทดสอบว่าเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้ากระตุ้นแล้วอาการผู้ป่วยดีขึ้นจริงหรือไม่ ก่อนที่จะทำการเย็บปิดแผล
ข้อดีของการผ่าตัด (DBS) แพทย์สามารถปรับตั้งเครื่องได้ หลังจากผ่าตัดเพื่อให้สอดคล้องกับอาการของผู้ป่วย
- การดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน
นอกจากการรักษาของแพทย์โดยการใช้ยา การทำกายภาพบำบัด การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย หรือการผ่าตัด ก็ตามแต่ส่วนสำคัญที่จะขาดไม่ได้ คือการดูแลเมื่อกลับบ้านและบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยดูแลนั้นก็คือคนในครอบครัวเนื่องจาก อาการของโรคที่ทำให้มีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกายแล้ว ยังมีอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจ อีกด้วยทำให้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน และการเข้าสังคม การดูแลมีดังนี้
การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจาก เคลื่อนไหวลำบากและสูญเสียการทรงตัว เช่น
- การเลือกรองเท้า ที่พื้นรองเท้าไม่ลื่น
- ไม่ควรมีสิ่งกีดขวางทางเดิน
- ในห้องน้ำ ควรมีราวจับ และพื้นห้องน้ำไม่ลื่น
- ผู้ป่วยเดินตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เช่น การยกเท้าสูงๆก้าวยาวๆ ให้เดินช้าลง
- การบริหารร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดสม่ำเสมอ
- หากเป็นมากอาจมีปัญหาการกลืน ควรเลือกอาหารที่เคี้ยวง่าย ตักพอดีคำ รอให้กลืนหมดก่อนจึงป้อนคำต่อไป
- การดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยา และพบแพทย์สม่ำเสมอเพื่อประเมินอาการและปรับขนาดยา หรือการปรับ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ที่ฝังไว้ในร่างกาย ให้สอดคล้องกับอาการของผู้ป่วย
- ญาติควรให้กำลังใจผู้ป่วย ช่วยอำนวยความสะดวก ในการพาไปพบแพทย์ การฟื้นฟูร่างกาย การจัดอาหารให้เหมาะสม การจัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
โรคพาร์กินสันป้องกันได้ไหม?
เนื่องจากสาเหตุการเกิดโรคทางการแพทย์ยังไม่สามารถทราบชัดเจน แต่มีการสันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง ฉะนั้นเราควรลดปัจจัยเสี่ยงด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การพักผ่อนให้เพียงพอ การผ่อนคลายเครียด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ หมั่นสังเกตตนเองหรือคนในครอบครัวว่ามีอาการผิดปกติ หรือไม่ หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีอาการบางอย่างที่คล้ายโรคพาร์กินสัน แต่อาจจะอันตรายมากกว่าพาร์กินสัน จะได้รักษาแต่เนิ่นๆ