โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ..กับการสวนหลอดเลือดหัวใจ
การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Angiography : CAG) หรือการฉีดสี นับเป็นการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่สำคัญอย่างหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งคุณหมอจะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปตามหลอดเลือดแดงก่อนถึงหัวใจเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีดสารทึบรังสีเอ็กซเรย์เข้าทางสายสวนให้วิ่งไปที่หลอดเลือดหัวใจ แล้วทำการถ่ายภาพ เพื่อเชคดูว่า มีการตีบแคบ หรือตีบตันของหลอดเลือดหรือไม่ เพื่อพิจารณาหาแนวทางการรักษาต่อไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค ว่าเหมาะที่จะรักษาวิธีใด ด้วยยา, ใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ หรือใส่ขดลวดในหลอดเลือดหัวใจ
“สวนผ่านขาหนีบ” วิธีเบสิคที่ใครๆ ก็ทำกัน
การสวนหลอดเลือดหัวใจที่ทำผ่านขาหนีบ (Femoral artery) จะใช้ยาชาเฉพาะที่ ไม่ใช้ยาสลบและไม่ต้องผ่าตัด นั่นแปลว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาและสามารถพูดคุยได้ แต่ถึงแม้วิธีนี้จะใช้เวลาในการตรวจเพียงแค่ 30-60 นาที แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยจะต้องนอนราบและงอขาข้างที่ตรวจไม่ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง ไม่สามารถลุกนั่งหรือเดินได้ ในเคสที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจรวมถึงการใส่ขดลวดในหลอดเลือดหัวใจก็สามารถทำต่อได้เลยทันที หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน และกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติภายใน 1 สัปดาห์
แอดวานซ์กว่าด้วย “การตรวจผ่านทางข้อมือ”
ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้เดี๋ยวนี้เราสามารถตรวจผ่านหลอดเลือดแดงบริเวณข้อมือ (Radial artery)ได้แล้ว ซึ่งแม้ว่าหลอดเลือดจะมีขนาดเล็กกว่าและมีทางเดินที่คดเคี้ยวกว่า แต่ก็มีการพัฒนาอุปกรณ์ให้มีความเหมาะสมและสามารถทำการตรวจและรักษาได้ใกล้เคียงกับการตรวจผ่านหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมกันมากขึ้นเรื่อย อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี คศ 2007-2011 ก็มีผู้ป่วยที่ได้รับการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว
เจาะลึกลักษณะ “หลอดเลือดแดงบริเวณข้อมือ”
โดยปกติบริเวณข้อมือจะมีระบบเลือดหล่อเลี้ยงโดยหลอดเลือด 2 เส้นคือ หลอดเลือดแดง Radial และ Ulnar โดยที่แพทย์จะทำการทดสอบด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่เรียกว่า Allen’s test เพื่อตรวจสอบว่าหลอดเลือดทั้ง 2 ปกติสามารถทำการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือได้หรือไม่ ซึ่งผู้ป่วยมากกว่า 90% ส่วนใหญ่จะมีหลอดเลือดทั้ง 2 ปกติ
ทุกอย่างมีสองด้าน การรักษาก็เช่นกัน
ถึงวิธีนี้อาจจะทำให้แพทย์ทำงานยากขึ้น เพราะต้องใช้ทักษะมากกว่าเดิม และบางครั้งก็เกิดภาวะหดตัวของหลอดเลือด (Radial artery spasm) ซึ่งถ้ารุนแรงก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนมาทำการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบแทน แต่ก็มีข้อดีอยู่ไม่น้อย เช่น ผู้ป่วยไม่ต้องนอนขาเหยียดตรงหลายๆ ชั่วโมง หลังการตรวจและรักษาก็สามารถลุกเข้าห้องน้ำได้ นั่งทานอาหารได้ มีเพียงสายรัดข้อมือ (TR band) ที่ต้องใส่ไว้ประมาณ 2-4 ชั่วโมง (รูปที่ 5) จึงทำให้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่โรงพยาบาลนั้นสั้นลง สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ภายในไม่กี่วัน เรื่องของภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ (Local Complication) จากการใส่สายสวนก็น้อยกว่าบริเวณขาหนีบมาก เพราะการที่เส้นเลือดมีขนาดเล็กกว่า และอยู่ใกล้ผิวหนังมากกว่า ทำให้ควบคุมการหยุดเลือดได้ดีกว่ามาก เมื่อเทียบกับบริเวณขาหนีบที่หากมีเลือดออก อาจต้องให้เลือด หรือบางครั้งอาจมีภาวะหลอดเลือดโป่งพองจนต้องผ่าตัดซ่อม ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถงอขาหรือลุกเดินได้เป็นเวลานานหลายอาทิตย์
ตัดสินใจเลือกวิธีให้เหมาะสม เพื่อผลที่ดีที่สุด
โดยทั่วๆ ไป การตัดสินใจนี้อาจจะขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ทำการตรวจเป็นหลัก ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มแพทย์ที่ทำการสวนหลอดเลือดผ่านทางขาหนีบเป็นหลัก และแพทย์ที่ทำผ่านทางข้อมือเป็นหลักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวแพทย์เองก็ต้องมีความเชี่ยวชาญและชำนาญสูง อย่างในเคสที่ผู้ป่วยอ้วนมากหรือหรือมีภาวะหลอดเลือดขาส่วนปลายตีบ การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือก็จะมีข้อดีมากกว่า แต่ในบางเคสที่ต้องการรักษาหลอดเลือดแดงที่ข้อมือไว้ใช้ในการรักษาอื่น ๆ เช่นการฟอกไต (Hemodialysis) หรือผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจที่อุดตันทําทางเดินของเลือดใหม่ (Coronary Artery Bypass Graft : CABG) การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบก็ดูจะเหมาะสมกว่า
ป้องกันไว้ก่อนได้ ด้วยไลฟ์สไตล์ “Heart Healthy Life”
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีจะสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน รวมทั้งโรคหัวใจได้ เริ่มตั้งแต่การกินอาหารสุขภาพ เช่นผัก, ผลไม้, พืชเมล็ดถั่ว, ปลา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่นเดินเร็วประมาณ 30 นาทีให้ได้เกือบทุกๆวัน ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่สูบบุหรี่ และดูแลรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือและขาหนีบ
การสวนหลอดเลือดหัวใจ |
ผ่านทางข้อมือ |
ผ่านทางขาหนีบ |
นอนพักหลังการสวนหัวใจ | ไม่ต้อง | ประมาณ 6 ชม. |
ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดเฉพาะที่ | 1.4% | 3.7% |
โอกาสสำเร็จจากการตรวจและรักษา | 95% | 95% |
ผู้ป่วยเลือกที่จะตรวจทางข้อมือในครั้งถัดไป | 90% | 50% |