“ต้อหิน” เป็นได้…ก็หายได้ แค่ต้องแก้ให้ตรงจุด
ไม่น่าเชื่อเลยว่า… “โรคต้อหิน” จะเป็นโรคที่ทำให้คนไทยตาบอดมากที่สุด ทั้งที่จริงๆ แล้ว โรคต้อหินสามารถรักษาให้หายได้…เพียงแต่ต้องรักษาให้ตรงจุดและทันท่วงที เอ้า!! ถ้าไม่อยากต้องสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต…มาเช็คอาการเบื้องต้นซักหน่อยดีกว่าว่าคุณเสี่ยงเป็นต้อหินหรือเปล่า?
“ต้อหิน” มีสาเหตุมาจาก…???
แม้ว่าสาเหตุที่ทำให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายจะมีอยู่หลายปัจจัย แต่ “ระดับความดัน” ที่สูงขึ้นจนผิดปกติ ทำให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ จากแรงกด ผู้ป่วยจึงค่อยๆ สูญเสียการมองเห็นจากรอบนอกเข้ามา…และตาบอดในที่สุด!!
คุณกำลังเป็น “ต้อหิน” อยู่หรือไม่? ลองเช็คได้ด้วยตัวเอง
- ชอบปวดตาหรือปวดศีรษะ และตาพร่า เมื่อใช้สายตานานๆ
- การมองเห็นทางตรงยังปกติ แต่ด้านข้างจะค่อยๆ แคบเข้ามา
- ประสิทธิภาพการกะระยะทางสายตาลดลง มักเดินชนสิ่งของบ่อยๆ
- ลองเอามือปิดตาข้างหนึ่ง แล้วสังเกตว่าสามารถมองเห็นภาพเป็นปกติหรือไม่?
“ต้อหิน” เป็นแล้ว…ต้องรีบรักษา
- การรักษาด้วยยา เป็นวิธีที่มุ่งเน้นการ “ลดความดันลูกตา” ให้ต่ำลง…เพื่อไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่านี้!! โดยผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา
- การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นแนวทางการรักษาที่ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาหยอดตา โดยประเภทของเลเซรอ์ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของต้อหิน
- การรักษาด้วยการผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่การหยอดยาหรือเลเซอร์ไม่สามารถควบคุมความดันลูกตาได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- Trabeculectomy คือการผ่าตัดเปิดทางสำหรับระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา เพื่อช่วยลดระดับความดันลูกตาให้ต่ำลง
- Aqueous shunt surgery หากการผ่าตัดแบบแรกไม่ได้ผล อาจใช้วิธีการใส่ท่อระบายเพื่อลดความดันลูกตาแทน
เพราะผู้ป่วยมักไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็น “โรคต้อหิน” จึงหันไปรักษาอาการปวดศีรษะบ้างล่ะ หรือซื้อยามาหยอดเองบ้างล่ะ ซึ่งกว่าจะรักษาตรงจุด…ผู้ป่วยก็อาจตาบอดได้!! ทางที่ดี..ควรเข้ารับการตรวจดวงตากับจักษุแพทย์เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้ง่าย