5 พฤติกรรมเสี่ยงของมนุษย์ออฟฟิศ ที่ทำร้ายดวงตาโดยไม่รู้ตัว
1. ติดจอ
จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เมื่อปี 2557 พบว่าคนไทยใช้เวลา 7.2 ชั่วโมงต่อวันหรือเกือบ 1 ใน 3 ของวันไปกับหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแสงจ้าของจอนี่แหละที่มีผลต่อสุขภาพเลนส์ตาและจอประสาทตา ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงโรคยอดนิยมของคนวัยทำงานอย่างคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome หรือ CVS)
2. ดื่มน้ำน้อย ทานอาหารไม่มีประโยชน์
ร่างกายเรานั้นประกอบด้วยน้ำถึง 70% เพราะฉะนั้นในแต่ละวันเราจึงควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งการดื่มน้ำน้อยจะส่งผลโดยตรงต่อความชุ่มชื้นของดวงตา ตามมาด้วยอาการตาแห้ง ตาแดง เปลือกตาบวมช้ำได้ ส่วนการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยกินผักผลไม้ รู้หรือไม่ว่าทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ขาดวิตามินซึ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมและดูแลดวงตาของเราได้
3. ดื่มหนัก-สูบจัด
นอกจากโรคเกี่ยวกับตับ ทางเดินอาหาร และทางเดินหายใจที่เป็นผลโดยตรงต่อสุขภาพของคนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคนที่ชอบสูบบุหรี่แล้ว ยังมีผลการวิจัยออกมาจำนวนมาก ที่ระบุว่าการสูบบุหรี่ส่งผลต่อสุขภาพของดวงตาเช่นเดียวกัน ทั้งต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ม่านตาอักเสบ โรคตาแห้ง หรือแม้กระทั่งเบาหวานขึ้นตา
4. ไม่สวมแว่นกันแดด ปล่อยให้ดวงตารับสังสียูวีโดยตรง
เราต่างรู้อยู่ว่าแดดเมืองไทยนั้นแรงขนาดไหน ซึ่งการเดินกลางแจ้งรวมถึงการขับรถโดยไม่สวมแว่นกันแดดนั้นเท่ากับดวงตาของเราปะทะกับรังสียูวีโดยตรง ทำให้เกิดทั้งต้อลมและต้อเนื้อ ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องออกแดดหรือเจอฝุ่นควัน ก็ควรใส่แว่นกันแดดซึ่งสามารถกรองรังสียูวีเอและยูวีบีได้ สำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น เลนส์สีชาและสีเทาจะเหมาะสมที่สุด
5. ไม่เคยตรวจสุขภาพตาเลย อาจตาบอดได้โดยไม่รู้ตัว
การตรวจสุขภาพตาถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ควรทำเป็นประจำทุกปี หรือตามที่จักษุแพทย์แนะนำ เพื่อให้รู้ถึงปัญหา ภาวะเสี่ยงของโรคตาบางชนิดที่ไม่แสดงอาการเจ็บป่วย ที่เราอาจเป็นได้โดยไม่แสดงอาการใดๆ มาก่อน เช่น โรคต้อหินเฉียบพลันก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาบอด ทั้งนี้ หากมีการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาได้หลายวิธีเพื่อให้ดวงตาสามารถมองเห็นและอยู่คู่กับเราไปอีกนาน