หัวใจจะแข็งแรงได้...แค่เลือกกินกรดไขมันให้เป็น

ทำไมคนไทยถึงเป็นโรคหัวใจกันมากขนาดนี้…มารู้จักโรค NCDs กัน 

ก่อนอื่นเราอยากให้คนไทยทุกคนเข้าใจก่อนว่า โรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนไทยไปมากมายในยุคนี้…อาจเกิดจากการใช้ชีวิตผิดๆ ของเราเองทั้งนั้น ทั้งโรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดัน หรือแม้แต่มะเร็ง เราเรียกกลุ่มโรคไม่ติดต่อนี้ว่า…โรค NCDs อธิบายง่ายๆ คือโรคที่เราบ่มเพาะมันขึ้นมาเองจากอาหารการกิน และไลฟ์สไตล์ผิดๆ อย่างต่อเนื่อง และจะเห็นได้ชัดเลยว่าสาเหตุโดยมากของโรคกลุ่มนี้ คือการกินอาหารไขมันสูง ซึ่งเป็นต้นตอให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทยเราเลย
Note: NCDs = Non-communicable disease

 

บริโภคไขมันแบบผิดๆ…สาเหตุหลักของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

แน่นอนว่าอาหารไทยที่เราทานกันอยู่ 3 มื้อต่อวันนี้ แทบจะทุกเมนูต้องผ่านการปรุง ทอด ผัด ทั้งนั้น และที่สำคัญคือ ที่ผ่านมาคนไทยยังสับสนและไม่รู้วิธีการเลือกใช้น้ำมันที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ทำให้เราได้รับกรดไขมันที่ไม่เหมาะสมต่อร่างกาย และนี่คือสาเหตุใหญ่ของโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง

 

มาดูกัน…กรดไขมันเกี่ยวข้องกับหัวใจอย่างไร?

กรดไขมัน หรือ Fatty Acid ที่เราพูดถึงนี้ อยู่ในอาหารชนิดต่างๆ และเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย กรดไขมันเป็นแหล่งพลังงาน เป็นส่วนประกอบของเซลล์ในร่างกาย ทำหน้าที่ละลายวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดให้ร่างกายดูดซึมเอาไปใช้ประโยชน์ กรดไขมันแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไปดังนี้…

 

กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid: SFA) 

คือกรดไขมันที่ได้จากสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ไขมันหมู นม เนย มีส่วนทำให้ร่างกายเพิ่มไขมันมันเลว หรือ LDL ในเลือดให้สูงขึ้น เกิดการสะสมคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ หากมีปริมาณมากเกินไป จะจับที่ผนังหลอดเลือดแดง อาจทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากเนื้อสัตว์ SFAยังพบได้ในน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนจึงเหมาะกับการทำอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น ทอด
ประโยชน์ของ SFA: มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ทั้งเซลล์สมอง เซลล์กระดูก เซลล์ผิวหนัง และเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนต่างๆ

 

กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid: MUFA)

คือกรดไขมันดีที่โดยมากได้จากเมล็ดพืช เช่น น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก เป็นกรดไขมันที่ทนต่อความร้อนได้น้อยถ้าเทียบกับ SFA จึงเหมาะสำหรับการนำไปผัด  หรือ ทานสด
ประโยชน์ของ MUFA: กรดไขมันดีที่ร่างกายต้องการ มีส่วนช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ที่สำคัญคือช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้

 

กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid: PUFA) 

เป็นกรดไขมันที่มีอยู่มากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน และน้ำมันข้าวโพด ถือเป็นไขมันดีและมีประโยชน์ มีสารสำคัญอย่างกรดไขมัน Omega 6 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนนี้ทนต่อความร้อนได้น้อย จะดีที่สุดหากทานโดยไม่ผ่านความร้อน เช่น การนำไปทำน้ำสลัด หรือ มายองเนส
ประโยชน์ของ PUFA: มีสารสำคัญที่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด จึงลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ลดความดัน และยังถูกใช้ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทด้วย

 

ไขมันทรานส์ (Trans Fats) = ไขมันตัวร้าย

คือไขมันที่ร่างกายไม่ควรได้รับมากที่สุด เป็นไขมันเลวที่เกิดจากการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืช เพื่อเปลี่ยนจากของเหลวให้เป็นของแข็งเพื่อยืดอายุการใช้งาน ทนต่อความร้อนได้สูง ให้มีรสชาติ และลักษณะที่น่าทาน โดยสมาคมหัวใจสหรัฐอเมริกาแนะนำว่าควรจะจำกัดไขมันทรานส์ในระดับน้อยกว่า 1% ของแคลอรีที่บริโภคทั้งหมดต่อวัน เช่น ถ้าต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรี ต่อวัน ไม่ควรได้ไขมันทรานส์เกิน 2 กรัมต่อวันโทษของไขมันทรานส์: การเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล และไขมันเลว (LDL) ในร่างกาย และยังลดระดับไขมันดี (HDL) ลง จึงเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

 

ทานกรดไขมันให้สมดุลกับร่างกาย…จึงเป็นหลักสำคัญที่สุด

เพราะเราจะเห็นได้ว่ากรดไขมันแต่ละประเภทนั้นมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ดังนั้นการเลือกทานกรดไขมันเพื่อให้ดีต่อสุขภาพที่สุด เราจึงต้องทานให้สมดุล อย่างการเลือกใช้น้ำมันผสมปรุงอาหาร หลายคนคงสงสัยว่าน้ำมันผสมคืออะไร น้ำมันผสม คือ การนำน้ำมันพืชทั้งสองชนิดมาผสมกันโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของน้ำมัน เพื่อให้ได้น้ำมันปรุงอาหารที่มีสมดุลของกรดไขมันที่ดี มีสัดส่วนของ SFA, MUFA และ PUFA ที่ดีต่อสุขภาพ ตอบโจทย์ทุกการทำอาหาร (Healthy Functional Oil) จากแบรนด์น้ำมันผสม 3 สูตรที่ได้รับการรับรองจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จนได้รับตราสัญลักษณ์ “อาหารรักษ์หัวใจ” ที่เป็นการรับรองว่า “น้ำมันผสมนี้มีกรดไขมันในสัดส่วนที่เหมาะสม ผ่านเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก เหมาะสำหรับช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” ที่สำคัญคือปราศจากไขมันทรานส์ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆ และ อีก 1 สูตรที่มีการลดไขมันอิ่มตัวลง แต่ยังคงมีคุณสมบัติในการทนความร้อน

 

4 สูตรน้ำมันผสม…สูตรไหนควรใช้เมื่อไหร่

อาหารทอดและผัด
เหมาะกับสูตร Nutri Blend (ได้รับสัญลักษณ์ อาหารรักษ์หัวใจ) เป็นน้ำมันปาล์มโอเลอินผ่านกรรมวิธีผสมกับน้ำมันคาโนลาผ่านกรรมวิธี โดยมีความสมดุลของกรดไขมันอยู่ที่ SFA 1 : MUFA 1.7 : PUFA 0.6 ทำให้จุดเดือดต่ำ จึงสามารถใช้ความร้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันสำหรับทอดและผัดทั่วไป

อาหารทอดกรอบ
เหมาะกับสูตร Deep Frying Blend เป็นน้ำมันปาล์มโอเลอินผ่านกรรมวิธีผสมน้ำมันถั่วเหลืองผ่านกรรมวิธี ซึ่งลดไขมันอิ่มตัวลง 40% แต่สามารถทนความร้อนได้สูง เหมาะสำหรับการทำอาหารทอดกรอบแบบน้ำมันท่วม

อาหารผัด 
เหมาะกับสูตร Stir-Frying Blend (ได้รับสัญลักษณ์ อาหารรักษ์หัวใจ) ซึ่งเป็นสูตรน้ำมันคาโนลาผ่านกรรมวิธีผสมกับน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันผ่านกรรมวิธี มีความสมดุลของกรดไขมันอยู่ที่ SFA 1 : MUFA 6.5 : PUFA 4 สามารถทนความร้อนได้ปานกลาง จึงเหมาะกับการทำอาหารประเภทผัด นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีสูงถึง 40% ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร และมีโอเมก้า 3 สูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองทั่วไปถึง 12%

ทำน้ำสลัด
เหมาะกับสูตร Salad Oil Blend (ได้รับสัญลักษณ์ อาหารรักษ์หัวใจ)  เป็นสูตรน้ำมันผสมที่คิดค้นมาเพื่อการทำน้ำสลัด และ มายองเนสโดยเฉพาะ เป็นน้ำมันคาโนลาผ่านกรรมวิธีผสมน้ำมันถั่วเหลืองผ่านกรรมวิธี มีความสมดุลของกรดไขมันอยู่ที่ SFA 1 : MUFA 6 : PUFA 3.5 อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 9 สูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองทั่วไปถึง 2 เท่า และสูงกว่าน้ำมันดอกทานตะวันถึง 60%

 

เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่า หลักสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจ ไม่ได้อยู่เพียงแค่ห้ามทานอาหารมัน หรือ อาหารทอด แต่การทานที่ฉลาดกว่าคือการเลือกใช้น้ำมันในการปรุงอาหารที่เหมาะสม อย่างน้ำมันผสม น้ำมันที่ดีต่อใจ…ดีต่อสุขภาพ และทำให้เราได้รับกรดไขมันในปริมาณที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ขอบคุณข้อมูลจาก Emerald oil