เรื่อง Botox ที่ต้องบอกต่อ สิ่งสำคัญหลายข้อ ที่คุณอาจไม่รู้

เรื่อง Botox ที่ต้องบอกต่อ สิ่งสำคัญหลายข้อ ที่คุณอาจไม่รู้

ความสวยงามของรูปร่างหน้าตาเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจ ด้วยเหตุนี้เองวงการศัลยกรรมเสริมความงามจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และหนึ่งในหลายกรรมวิธีหรือนวัตกรรมเสริมความงามที่ช่วยแก้ไขริ้วรอยความเหี่ยวย่นก่อนวัย ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคงหนีไม่พ้น “โบท็อกซ์” วันนี้ เราเลยอยากจะพาให้ทุกคนไปรู้จักกับการทำโบท็อกซ์ในมุมมองต่างๆ เพื่อจะได้เข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเหมาะกับคุณหรือไม่

 

โบท็อกซ์ คืออะไร?

พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้อธิบายถึง “โบท็อกซ์” (Botox) ไว้ว่า เป็นชื่อทางการค้าของ “Botulinum toxin type A” ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า “Clostridium botulinum” มีฤทธิ์สกัดกั้นระบบการทำงานของเซลล์ประสาท ทำให้ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ จึงเกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ

 

โบท็อกซ์ ใช้รักษาอะไรได้บ้าง?

ในช่วงแรก Botox ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาทางตา เช่น ตาเหล่ (Strabismus) หรือหนังตากระตุก (Blepharospasm) แล้วพบว่า ทำให้ริ้วรอยบริเวณที่ฉีดลดลง ปัจจุบันจึงได้ใช้ Botox เพื่อประโยชน์ทางด้านการเสริมความงาม และด้านอื่นๆ ได้แก่

  • ใช้รักษาเรื่องริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหว หรือการแสดงอารมณ์ เช่น บริเวณระหว่างคิ้ว หน้าผาก หางตา รอบปาก
  • นำไปใช้ช่วยลดกราม (ลดหน้าเหลี่ยม) ช่วยให้ใบหน้าเรียวขึ้น
  • ใช้ช่วยลดขนาดของเนื้อน่อง ทำให้น่องเรียว
  • ใช้ช่วยลดอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดไมเกรน ปวดหลัง รวมถึงช่วยลดเหงื่อที่ผิวหนัง เช่น บริเวณรักแร้ และฝ่ามือ

นอกจากการฉีด Botox เข้าไปที่กล้ามเนื้อแล้ว ยังมีเทคนิคการฉีด Botox ที่เรียกว่า Microbotox  technique เป็นการฉีด Botox เข้าที่ผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังตึงกระชับ ผิวที่หย่อนคล้อยดูยกขึ้น รูขุมขนเล็กลง และลดความมันของใบหน้าด้วย ทั้งนี้ การออกฤทธิ์ของ Botox จะเริ่มออกฤทธิ์ใน 2-3 วัน ออกฤทธิ์เต็มที่เมื่อประมาณ 7-14  วัน และฤทธิ์ของ Botox จะค่อยๆ สูญสลายไปในระยะเวลา 4-6 เดือน

 

โบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่?

จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม ทั้งนี้ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีด Botox ได้แก่

  • บวม แดง ช้ำ เขียว ตรงบริเวณที่ฉีด
  • แพ้เห่อแดง ที่ผิวหนัง
  • หน้าแข็งตึง รู้สึกว่าไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ สาเหตุเกิดจากปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปไม่เหมาะสม
  • หางคิ้วกระดก เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้คิ้วเลิกสูงขึ้น รวมทั้งยังอาจทำให้เกิดรอยย่นขึ้นที่ด้านข้างของคิ้วเพิ่มขึ้นได้ด้วย
  • หนังตาตก เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นเพียงแค่ชั่วคราว

ทั้งนี้ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง 

 

เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร?

ผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นหลักเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาอาจรอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้ ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อแก้ไขเป็นกรณีไป 

 

เตรียมตัวอย่างไร? ก่อนไปฉีด Botox 

การฉีด Botox ก็เปรียบเหมือนการเข้ารับการรักษาโรคอื่นๆ โดยทั่วไป ดังนั้น การเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ ผู้ต้องการรักษา ควรรู้ โดย พญ.พรภุชงค์  เลาห์เกริกเกียรติ หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท  3 ได้แนะนำแนวทางในการปฏิบัติไว้ดังนี้

 

ก่อน ฉีด Botox 

  • หยุดใช้ยากลุ่มกรดวิตามิน A, AHA สครับหน้า ขัดหน้า เป็นเวลา 1-2 วันก่อนการฉีด Botox
  • หยุดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ได้แก่ Brufen, Naproxen, Motrin วิตามินอี น้ำมันปลา จิงโกะ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อลดการเกิดรอยฟกช้ำ
  • งดแอลกอฮอลล์ 24 ชั่วโมง ก่อนการรักษา
  • ถ้ามีประวัติของโรคเริมบริเวณฝีปาก ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการรักษา

 

หลังฉีด Botox

  • อย่านวด กด หรือกระทำอันใดที่จะมีผลต่อบริเวณที่รักษา เช่น สวมหมวก สวมหมวกกันน็อก หรือนวดหน้า
  • อย่านอนราบหรือก้มหน้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • งดการอยู่ในที่ร้อน เช่น อบซาวน่า ปรุงอาหารหน้าเตาร้อน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • รอยนูนจากการฉีดจะหายไปเองภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง
  • งดเว้นการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการเล่นโยคะเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังการรักษา
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการรักษา
  • พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ยากระจายตัวเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • สามารถใช้เครื่องสำอางได้หลังการรักษาด้วยความนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการกดถู
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดใน 2 สัปดาห์
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

 

ทั้งนี้ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา และข้อสำคัญควรเลือกใช้บริการกับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และทำการรักษากับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โรงพยาบาลพญาไท 3 มีบริการรักษาปรับสภาพผิวหน้าที่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร เพื่อผิวหน้ากลับมาเต่งตึงอีกครั้ง


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




บทความแนะนำ

เติมเต็มริ้วรอย ร่องแก้มลึก ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ด้วย Filler Juvederm Voluma

พญาไท 3

Filler Juvederm Voluma มีความยืดหยุ่นและหนาแน่นสูง ปั้นง่าย ฉีดแล้วไม่ไหล จึงช่วยเติมเต็มขมับ ร่องแก้ม ร่องใต้ตา และช่วยปรับรูปหน้า เสริมคาง ให้ดูเรียวขึ้นได้อย่างชัดเจน

เติมออกซิเจนให้ผิวหน้าด้วยพลังน้ำแร่ Hydropeel เพื่อผิวสะอาดกระจ่างใส

พญาไท 3

การฟื้นฟูผิวหน้าด้วยการเติมออกซิเจนด้วยพลังน้ำแร่ Hydropeel ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า เพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ผิว การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ผิวจึงใส เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ ลดปัญหาสิว รูขุมขนกว้าง

ผู้หญิงกับเรื่องริ้วรอย  อย่ามัวคอย ต้องรีบรักษา

พญาไท 3

ความสวยงามของใบหน้า อาจเป็นสิ่งที่คุณแม่ให้มาไม่เหมือนกัน แต่ความใส และไร้ริ้วรอย นั้น ทุกคนมีมาไม่ต่างกันเท่าไรนับแต่เกิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเนียนใส ก็ค่อยๆ เลือนหาย กลับกลายมาเป็นริ้วรอยตัวร้าย

IPL FACE  นวัตกรรมฟื้นฟูผิวหน้า ลดจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้ขาวกระจ่างใส

พญาไท 3

IPL (Intense Pulsed Light) คือการใช้คลื่นแสงกว้างช่วยแก้ปัญหาผิวหน้า รอยแดงรอยดำ จุดด่างดำที่เกิดจากสิว ริ้วรอยตื้น รูขุมขนกว้าง หน้ามัน ลดการอักเสบของสิว ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวหน้าจึงดูกระจ่างใสขึ้น