“ฝ้า” นับเป็นหนึ่งปัญหากวนใจคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงหลายๆ คน เพราะทุกคนย่อมอยากมีผิวหน้าขาวใสไร้จุดด่างดำ แต่ฝ้า ก็กลับมาทำให้เราต้องรู้สึกกังวล และไม่มั่นใจในผิวหน้า โดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกไปพบปะกับผู้คน และยิ่งช่วงวัยข้ามผ่านเลข 3 มาด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าฝ้ามักจะมีให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันมีวิธีการทางการแพทย์อยู่พอสมควร ที่สามารถเป็นทางเลือกให้วัย Young Fit อย่างเราๆ ใช้จัดการกับปัญหาฝ้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้เต็มเปี่ยมอีกครั้ง
ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้ อธิบายถึง “ฝ้า” ไว้ว่า ฝ้านั้น เป็นความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ซึ่งทำให้มีการสร้างเม็ดสี (melanin) มากกว่าปกติ โดยเราจะเห็นเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มที่บริเวณใบหน้า
ฝ้าเกิดที่ไหนได้บ้าง?
โดยปกติแล้วฝ้าสามารถเกิดได้ทั่วทั้งบนหน้า โดยเกิดได้ ที่
- โหนกแก้มทั้งสองข้าง
- หน้าผาก
- จมูก
- เหนือริมฝีปาก
- คาง (พบได้บ่อย)
- คอ
- หน้าอกส่วนบน
- แขน 2 ข้าง
ทั้งนี้ ฝ้ามักเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และ ฝ้าไม่ได้เป็นความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่เกิด หากแต่มาเกิดขึ้นในภายหลัง และส่วนมากจะเกิดในช่วงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ เกิดฝ้า?
สำหรับสาเหตุการเกิดฝ้านั้น พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท 3 กล่าวว่า ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบชัดเจน แต่พบว่ามีความสัมพันธ์หลายๆปัจจัย ดังนี้
- พันธุกรรม
- การโดนแดด
- ฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การได้รับฮอร์โมน เช่น การรับประทานยาคุม การได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมน นอกจากนี้อาจจะเกิดจาก
- การได้รับยาบางประเภท เช่น ยากันชักหรือยาที่มีผลทำให้ผิวไวแสงแดด ในแสงแดดประกอบด้วย UVA, UVB, visible light และ infrared light ซึ่งสามารถกระตุ้นทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
- ผลจากการแพ้เครื่องสำอางบางประเภท
วิธีป้องกันฝ้า ทำได้อย่างไร?
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00 น. – 16.00 น. หากจำเป็นต้องออกกลางแดดควรสวมหมวกหรือกางร่มทุกครั้ง
- ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ โดยพิจารณาค่า SPF ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกัน UVB ควรมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป รวมทั้งมีค่า PA ที่บ่งบอกถึงค่าความสามารถในการป้องกัน UVA โดยควรมี PA 2+ ขึ้นไป
- ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด พร้อมกับควรมีการทาซ้ำ
- หลีกเลี่ยงโดยการใช้ยาหรือเปลี่ยนยาที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดฝ้า
เป็นฝ้ารักษาหายไหม?
สำหรับแนวทางในการรักษาฝ้า พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท 3 ได้อธิบายว่า ปัจจุบันการรักษาฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะแนวทางการรักษา เป็นการควบคุมปริมาณเม็ดสีให้ลดจำนวนลง ทั้งนี้ พื้นฐานการรักษาฝ้าทำได้โดย
- ใช้ยาทา ซึ่งตัวยาหลักคือ hydroquinone ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเม็ดสีโดยตรง มีความเข้มข้น 2 – 5 % แต่ต้องระวังผลข้างเคียงอาจทำให้ผิวมีการระคายเคืองแดงลอกได้ การใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ผิวมีสีเข้มมีสีเทาอมน้ำเงินขึ้น ที่เรียกว่า ochronosis นอกจากนี้จะเป็นยาประเภทกรดวิตามินเอแต่ต้องระวังการระคายเคืองเช่นเดียวกัน อาจส่งผลให้ผิวมีความไวกับแสงแดด มีการลอกระคายเคือง จึงมีการผสมสาร steroid เพื่อลดการระคายเคือง แต่ต้องระวังว่าถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน steroid จะทำให้ผิวบางมีสิวเกิดขึ้นได้รวมทั้งมีหน้าแดงจากการการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยที่ผิว การใช้ AHA หรือสารประเภท whitening อื่นๆ เช่น azaleic acid, kojic, licorice, arbutin, vitamin c ก็สามารถใช้ได้กับฝ้า
- ใช้การรับประทานยา (tranxenamic acid) หรือการรับประทานวิตามินซีกับวิตามินอีร่วมด้วย การทำหัตถการหรือ treatment เช่น การลอกผิว (peeling) การทำ iontophoresis, การขัดผิวด้วยคริสตัล การทำ IPL หรือการทำ laser เช่น Q switched Nd- YAG, fractional laser ก็สามารถทำให้ฝ้าจางได้ แต่ต้องระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจทำให้ผิวแห้งระคายเคืองหรือกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือยาหรือครีมมีส่วนผสมที่มีอันตราย เช่น อาจมีการผสมสารปรอท, แอมโมเนียก็จะทำให้ผิวมีรอยด่างได้ถาวรหรือมีอันตรายต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น อาจมีไตหรือตับวายได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญทุกครั้ง เมื่อจะตัดสินใจเลือกสถานประกอบการในการรักษาฝ้าหรือผิวพรรณ จะต้องเป็นได้มาตรฐาน มีเครื่องมือที่ทันสมัยและมีคุณภาพ แพทย์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษา และท้ายที่สุดอยากจะฝากทุกๆ คนว่าการรักษา “ฝ้า” จะต้องใช้เวลาในการรักษา และแต่ละคนจะสนองตอบต่อการรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความลึก ความเข้มของฝ้า และปัจจัยการกระตุ้นที่แตกต่างกัน
พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ
แพทย์หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและความงาม
โรงพยาบาลพญาไท 3