โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ Allergic Rhinitis

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ Allergic Rhinitis

อาการ

  • จามบ่อย
  • น้ำมูกใส
  • คันจมุก
  • คัดจมูก

อาจมีอาการอื่น เช่น คันตามเพดานปาก คันคอ น้ำมุกไหลลงคอ มึนศรีษะ อ่อนเพลีย หูอื้อ (ท่อปรับความดันหูบวม) นอกจากนี้อาจพบโรคภูมิแพ้ตำแหน่งอื่นร่วมด้วย เช่น ตาแดง ตาอักเสบจากภูมิแพ้ ผื่นคัน ไอเรื้อรัง โดยมีอาการเรื้อรังเป็นๆหายๆ

สาเหตุ

  1. พันธุกรรม ถ้ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้ จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคกลุ่มนี้ได้มากกว่าคนอื่น
  2. สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งเป็นสารที่อยู่รอบๆ ตัวเรา สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น ทางหายใจ ทางการกิน หรือทางสัมผัส จากการศึกษาพบว่า สารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการบ่อยที่สุด คือ ไรฝุ่น ที่พบรองๆ ลงมาคือเชื้อรา ละอองเกสรหญ้า มูลและเศษชิ้นส่วนของแมลง ฝุ่น ขนและรังแคสัตว์เลี้ยง
  3. สาเหตุส่งเสริม เช่น เด็กที่มีปัญหาผื่นแพ้ผิวหนังเรื้อรัง มารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ มีคนสูบบุหรี่ในบ้าน ควันพิษ ควันจากโรงงาน

โรคแทรกซ้อน

โรคแพ้อากาศ ถ้าปล่อยให้เป็นนานๆ ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้  เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หอบหืด อาจมีริดสีดวงจมูกร่วมด้วยในเด็กโตหรือผู้ใหญ่

การรักษาและป้องกัน

แบ่งเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ 

1. การปฏิบัติตัว ได้แก่

  • การจำกัดและหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้
  • การรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย

การกำจัดและหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้

วิธีนี้ถือเป็นการรักษาสำคัญอันดับแรก ถ้าทำได้จะเป็นผลดีที่สุด พบว่าถ้าเราสามารถลดสารก่อภูมิแพ้ลงได้มากๆ อาการจะดีขึ้น การใช้ยาจะน้อยลง มีคำแนะนำสำหรับการกำจัดสิ่งที่แพ้ที่พบบ่อยๆ ดังนี้

  • สำหรับภายในบ้าน ควรมุ่งกำจัดฝุ่นเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในห้องนอน ควรมีเครื่องเรือนให้น้อยชิ้นที่สุด ไม่ควรปูพรม ควรหุ้มที่นอนและหมอนด้วยผ้าพลาสติก หรือผ้าคลุมกันไรฝุ่น ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนควรซักบ่อยๆ ไม่ควรมีวัสดุอมฝุ่น เช่น กองหนังสือเก่าๆ ตุ๊กตา
  • ไม่ควรเลี้ยงสัตว์มีขน  เช่น สุนัข แมว
  • กำจัดแมลงภายในบ้าน โดยเฉพาะแมลงสาบ
  • การกำจัดเชื้อรา กำจัดคราบดำในห้องน้ำบริเวณใต้อ่างน้ำ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้แล้ว ยังควรหลีกเลี่ยงสารระคายอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดอาการ เช่น ควันบุหรี่ กลิ่นฉุน เป็นต้น
  • การรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย แนะนำการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ได้

2. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคแพ้อากาศมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม 

ยากิน

  • ยาแก้แพ้หรือยาแอนตี้ฮีสตามีนรุ่นเก่า ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น คลอเฟนนิรามีน เป็นยาราคาถูก ได้ผลค่อนข้างดี แต่ข้อเสียคือ ทำให้ง่วง ปากแห้ง คอแห้ง
  • ยาแอนตี้ฮีสตามีนรุ่นใหม่ ข้อดีของยานี้คือ ไม่ทำให้มีอาการง่วงซึม ไม่มีปากคอแห้ง ออกฤทธิ์ได้นาน 12-24 ชั่วโมง (ทำให้กินวันละ 1-2 ครั้ง )แต่ข้อเสียของยากลุ่มนี้คือมีราคาแพงกว่า
  • ยาลดอาการคัดจมูก จะช่วยลดอาการบวมของเยื่อจมูก ทำให้หายใจโล่ง แต่มีผลข้างเคียงได้ในบางคน เช่น ทำให้ใจสั่น จึงควรระวังในคนไข้โรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง
  • ยาพ่นจมูกมี 3 กลุ่ม คือ
    • ยาพ่นแก้แพ้(แอนตี้ฮีสตามีน) ออกฤทธิ์โดยสัมผัสกับเนื้อเยื่อจมูกโดยตรง ออกฤทธิ์เร็วและอยู่ได้นาน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยจะได้ผลดีเฉพาะอาการจาม คันจมูก น้ำมูกใส แต่ไม่ได้ผลกับอาการคัดจมูก
    • ยาพ่นกลุ่มสเตอรอยด์ ข่วยลดอาการแพ้อากาศได้ดี สามารถใช้ติดต่อกันได้นาน ดูดซึมเข้าร่างกายน้อยมาก แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาบางตัวในกลุ่มนี้คือ จมูกแห้ง บางคนแสบจมูก เคืองจมูก บางคนอาจมีเลือดออกจมูก
    • ยาพ่นแก้คัดจมูก ใช้พ่นเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก ได้ผลเร็วแต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะจะทำให้ดื้อยา(ต้องใช้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพ่นยิ่งคัดจมูกมากขึ้น)

การรักษาโดยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้

ในปัจจุบันการรักษาโรคภูมิแพ้ด้วยการฉีค วัคซีนนั้นสามารถทำได้ในโรคภูมิแพ้ 2 โรคคือ โรคแพ้อากาศ และโรคหืด โดยแพทย์จะฉีดสารก่อภูมิแพ้ชนิดที่แพ้ให้แก่ผู้ป่วย และจะเพิ่มปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่ฉีดทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายลดการตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ดังกล่าวให้น้อยลง และอาการต่างๆของภูมิแพ้ก็จะลดลงไปด้วย โดยจะใช้ระยะเวลาในการฉีดทุกสัปดาห์ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3-5 ปี แต่หากบางรายร่ายกายไม่ตอบสนองกับการรักษาวิธีนี้ภายใน 1 ปีก็จะหยุดทำการรักษา

จะใช้วิธีนี้ในกรณีที่

  • คนไข้มีอาการมาก หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้
  • มีอาการมานาน หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้แล้ว ยังมีอาการ ต้องใช้ยาช่วยอยู่เสมอ
  • ไม่สามารถควบคุมอาการด้วยยากินหรือยาพ่นจมูก

ข้อบ่งชี้ของผู้ป่วยในการรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้

  1. ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อันได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้, โรคภูมิแพ้ทางตา,โรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบต้องได้รับการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) หรือตรวจเลือด specific IgE เพื่อให้ทราบชนิดสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ
  2. ผู้ป่วยยังคงมีอาการของโรคภูมิแพ้อยู่ในระดับปานกลาง ถึงมีอาการมากทั้งที่ได้รับการรักษายาอย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิ แพ้ในสิ่งแวดล้อมไม่ได้ หรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาเพื่อรักษาอาการภูมิแพ้
  3. ต้องมีความสม่ำเสมอในการมารับวัคซีนเนื่องจากเป็นการรักษาที่ต่อเนื่องและใช้ระยะเวลานานอย่างน้อย 3 ปี

ชนิดของการรักษา

  1. แบบฉีดเข้าใต้ผิวหนัง(Subcutaneous immunotherapy)  สามารถฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุได้มากกว่า 1 ชนิด เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ทดสอบแล้วพบว่าแพ้มากกว่า 1 ชนิด อาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ได้ เนื่องจากเป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่ผู้ป่วยแพ้เข้าไปในร่างกาย
  2. แบบอมใต้ลิ้น(Sublingual immunotherapy) ในปัจจจุบัน การใช้วัคซีนภูมิแพ้ ในรูปแบบการอมใต้ลิ้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อย  สามารถใช้แทนยาฉีดได้ โดยพบว่าผลการรักษาใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ 

สรุป

โรคแพ้อากาศไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่เป็นโรคเรื้อรังและรบกวนคุณภาพชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ได้รับการวินิฉัยที่ถูกต้อง อาจทำให้ต้องกินยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบบ่อยเกินจำเป็น หรือเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่นหอบหืด นอนกรน

ปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ถ้าสงสัยว่าลูกคุณเป็นโรคภูมิแพ้ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...