สาเหตุสำคัญ มือบวมเท้าบวมขณะตั้งครรภ์
พญ.ธาริณี ลำลึก ได้อธิบายถึง ‘สาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการมือบวมเท้าบวม’ ว่า อย่างแรกมักเกิดจากขนาดของมดลูกที่ขยายตัวขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ส่งผลให้ไปกดทับหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งจะต้องไหลเวียนย้อนกลับไปที่หัวใจทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ทำให้เลือดเกิดการคั่งอยู่บริเวณส่วนล่างของร่างกาย และอย่างที่สอง ขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีฮอร์โมนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆ มีการดูดซึมน้ำมากกว่าปกติ ทั้งยังกักเก็บน้ำไว้มากกว่าปกติด้วย จึงทำให้เกิดอาการมือเท้าบวม ตัวบวมขึ้นมาได้
วิธีแก้ไขอาการบวมของคุณแม่ตั้งครรภ์ในเบื้องต้น
วิธีแก้ไขอาการบวม เบื้องต้นคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เช่น ควรพยายามนอนตะแคงและยกปลายเท้าให้สูงขึ้นในเวลานอน หรือหากไม่สามารถนอนได้ก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวมากขึ้น และไม่ทำให้เกิดการกดทับของมดลูก เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายเป็นไปโดยสะดวก
ในส่วนอาการมือบวมนั้นจะไม่ได้เกิดจากขนาดของมดลูกไปกดทับเส้นเลือดแต่อย่างใด ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์จะทำท่าทางแบบใดก็จะมีอาการบวมที่มือ เพราะสาเหตุของอาการนิ้วบวมมือบวมนั้นจะเกิดจาก ‘เนื้อเยื่อมีการดูดน้ำและกักเก็บน้ำไว้ในร่างกายหรือเนื้อเยื่อมากขึ้น’ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงไม่ควรสวมแหวน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาจากอาการนิ้วบวม
คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการบวมผิดปกติหรือไม่ ต้องรู้จักสังเกต
นอกจากอาการนิ้วบวมมือบวมตามปกติที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระมัดระวังเพิ่มเติม ด้วยการสังเกตสัญญาณเตือนอื่นๆ จากอาการบวมแบบผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นจากภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยจะมีลักษณะบวมของผิวบนร่างกายแบบกดบุ๋ม คือ เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ กดผิวเนื้อและเกิดการบุ๋มคงสภาพไว้ไม่คืนตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาการบวมดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภาวะขาบวม มือบวม หรือหน้าบวม โดยมักมีอาการร่วมกับ ความดันโลหิตสูง โปรตีนรั่วในปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีอาการสำคัญของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรสังเกต คือ อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว และปวดจุดแน่นลิ้นปี่ หากมีอาการแบบนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์
ภาวะบวมผิดปกติกับอาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
อาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะของคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องใช้วิธีการตรวจโดยแพทย์เท่านั้น ทั้งนี้จะวินิจฉัยอาการร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง และ 3 อาการหลักๆ ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว และปวดจุดแน่นลิ้นปี่
โดยภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะเกิดจากกลไกการทำงานของไต เมื่อฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นมากจนไตไม่สามารถกักเก็บโปรตีนไว้ในร่างกายได้ก็จะเกิดการรั่วออกมา ซึ่งอาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะเป็นอาการร่วมของ ‘ภาวะครรภ์เป็นพิษ’ ที่จะส่งผลต่อการคลอดก่อนกำหนด ทั้งนี้ พญ.ธาริณี เน้นย้ำว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรสังเกตภาวะการบวมของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ระดับออกซิเจนในคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจสังเกตเบื้องต้นจากสีเล็บ
ปัจจุบันในทางการแพทย์ จะมีการใช้เครื่องมือตรวจวัดระดับวัดออกซิเจน ภายในร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งจะทำนอกเหนือจากการสังเกตสีของเล็บมือที่มีภาวะเปลี่ยนแปลงไป เช่น จากเล็บที่เคยเห็นเป็นสีชมพูปกติ หากกลายเป็นสีคล้ำหรือสีเขียวก็ควรได้รับการตรวจระดับออกซิเจน ซึ่งการทราบปริมาณออกซิเจนในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ จะทำให้รู้ว่าระดับออกซิเจนมีพอเพียงกับคุณแม่และคุณลูกในครรภ์หรือไม่ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงไม่ควรทาสีเล็บ เพื่อความสะดวกในสังเกตภาวะของร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารให้หลากหลาย เพื่อลดเสี่ยงการแพ้อาหาร
นอกเหนือจากการสังเกตอาการมือบวมเท้าบวม การกินอาหารก็มีความสำคัญ คุณแม่ตั้งครรภ์ยังสามารถกินน้ำมะพร้าวได้ กินทุเรียนได้ เพียงแต่ให้ระมัดระวังในเรื่องของแป้งและน้ำตาลที่อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากจนส่งผลเสียตามมา รวมทั้งอาจทำให้ท้องอืดได้ง่าย โดย พญ.ธาริณี แนะนำลักษณะการกินของคุณแม่ตั้งครรภ์ว่า ไม่กินอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งซ้ำๆ มากๆ หรือบ่อยๆ เพราะอาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งมีผลการวิจัยที่ระบุแนวโน้มที่น่าสนใจว่า การกินนมวัวในขณะตั้งครรภ์มากเกินไป อาจส่งผลให้ลูกแพ้นมวัวได้ ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์อาจพิจารณาว่าเราต้องการอะไรจากนม เช่น หากต้องการแคลเซียมก็เปลี่ยนจากนมมาเป็นแคลเซียมเม็ดบ้าง หรือหาแคลเซียมจากแหล่งอื่น เช่น ปลาตัวเล็ก ถั่ว งา หรือหากต้องการโปรตีน อาจเลือกกินปลา หมู ไก่ ไข่ นอกเหนือจากนม แต่ควรรับประทานสลับกันไป เพราะหากทานไข่มากเกินไปก็อาจเกิดอาการแพ้ไข่ในเด็กได้ กรณีคุณแม่แพ้นมวัว ก็จะมีโอกาสประมาณ 30% ที่ลูกในครรภ์จะแพ้ได้