ช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ นอกจากสภาพจิตใจของคุณแม่แล้ว… สุขภาพร่างกายก็เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติต่างๆ ได้ง่าย ตลอดจนสัญญาณเตือนก่อนการคลอด ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรู้เอาไว้ เพื่อการพบแพทย์ได้ทันเวลาไม่สายเกิน
อาการผิดปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์..ที่ควรปรึกษาแพทย์
- มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทุเลา
- มองเห็นภาพพร่ามัวไม่ชัดเจน
- เท้าและข้อเท้าบวมมาก
- ปัสสาวะสุดแล้วแสบขัด
- ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน
- ทารกในครรภ์ไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อยกว่า 3 ครั้ง ในหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่มีอายุครรภ์เกิน 28 สัปดาห์
- มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีน้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดปริมาณค่อนข้างมาก
สัญญาณเตือนก่อนการคลอด
เมื่อคุณแม่ใกล้จะถึงกำหนดวันคลอด อาจมีอาการเจ็บท้องบริเวณมดลูกมากบ้างน้อยบ้าง เป็นๆ หายๆ ไม่ถี่มากเกินไป เป็นอาการที่เกิดจากการเกร็งตัวหรือบีบตัวของมดลูกแบบเจ็บท้องเตือน (Braxton Hicks Contraction) ซึ่งถ้านอนพักหรือได้พักเพียงพอ อาการเจ็บท้องก็จะหายไปเอง ส่วนอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าจะคลอดจริงๆ นั้น มีดังนี้…
- มีเลือดไหลออกทางช่องคลอด โดยปกติคุณแม่จะมีมูกสีขาวออกจากช่องคลอดบ้างอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเลือดปนมูกออกมา ควรรีบไปโรงพยาบาลเร็วที่สุด
- มีน้ำหรือของเหลวใสไหลออกจากช่องคลอดในปริมาณมาก เช่น เปียกชุ่มกระโปรงหรือผ้าถุง ไม่ว่าจะในท่านั่งหรือนอน น้ำใสๆ ที่ไหลออกมาปริมาณมากนั้นก็คือ น้ำคร่ำรอบตัวเด็ก ซึ่งเกิดจากการที่ถุงน้ำคร่ำแตกหรือรั่ว ดังนั้นคุณแม่จึงควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที
- มีอาการปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง (มดลูก) หรือปวดร้าวไปบริเวณก้นกบเป็นระยะๆ ค่อยๆ ถี่มากขึ้น จนกระทั่งปวดทุก 4-5 นาที โดยช่วงที่มดลูกบีบตัวจะนานประมาณ 40-50 วินาที จากนั้นจึงคลายตัวอีก 4-5 นาที แล้วจะเริ่มปวดอีก อาการเช่นนี้เป็นอาการของการเจ็บท้องคลอดจริง! คุณแม่จึงควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
“จะเห็นได้ว่าเมื่อมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ข้อนี้ หรือมีหลายๆ อาการร่วมกัน เช่น หลังจากมีน้ำเดิน หรือถุงน้ำคร่ำแตกไม่นาน จะมีอาการเจ็บท้องคลอดจริงตามมา จึงควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที”