กรดไหลย้อน โรคเรื้อรัง...ที่รักษาให้หายขาดได้

พญาไท 2

1 นาที

พ. 13/05/2020

แชร์


Loading...
กรดไหลย้อน โรคเรื้อรัง...ที่รักษาให้หายขาดได้

โรคกรดไหลย้อนจากกระเพาะสู่หลอดอาหาร “GERD” (Gastro Esophageal Reflux Disease) เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นไปหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการสำคัญ ได้แก่ อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกและมีน้ำเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ภาวะกรดไหลย้อนนี้ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหาร ได้แก่หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกจากหลอดอาหาร และอาจทำให้ปลายหลอดอาหารตีบได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง กลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด

อะไรเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกรดไหลย้อน?

โรคนี้เกิดได้หลายสาเหตุ อาทิเช่น ความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหาร ทำให้มีความดันของหูรูดหลอดอาหารลดต่ำลงหรือเปิดบ่อยกว่าคนปกติ ซึ่งเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ อาหารและยาบางชนิด ภาวะน้ำเกิน ความเครียด หรือความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารสู่หลอดอาหารมากขึ้น

อาการของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด

1. อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร

  • กลืนลำบาก ติดๆ ขัดๆ คล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือกลืนเจ็บ
  • เจ็บคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือระคายเคืองตลอดเวลา
  • อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่บริเวณคอได้
  • เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอ
  • รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)

2. อาการนอกระบบหลอดอาหาร

  • มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • เป็นหวัดเรื้อรัง
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืนจนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) แย่ลง หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยาเจ็บหน้าอก (non-cardiac chest pain)
  • โรคปอดอักเสบ เป็นๆ หายๆ

กรดไหลย้อน…รักษาได้ ด้วยวิธีเหล่านี้

1. การปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) 

  • อย่าให้เครียด และงดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
  • พยายามลดน้ำหนักเกิน
  • ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่ง
  • ไม่ควรนอน ออกกำลังกาย ยกของหนัก เอี้ยวหรือก้มตัว หลังจากรับประทานอาหารทันที
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่นหัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟู้ด
  • หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เปปเปอร์มิ้นท์ เนย ไข่ นมหรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด รวมถึงเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง  เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารปริมานพอดีในแต่ละมื้อ ไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก
  • เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-10 นิ้วจากพื้นราบ

2. การรับประทานยา ซึ่งประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการ GERD สามารถควบคุมอาหารได้ด้วยยา

  • ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยาหรือหยุดยาเอง พร้อมทั้งมาพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา
  • อย่าซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้นหรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น

3. การรักษาโดยผ่าตัด

ในปัจจุบันการรักษาด้วยยามักให้ผลการรักษาที่ดีแต่ต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน และเมื่อหยุดยาผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการกลับขึ้นมาใหม่ การผ่าตัดจะแนะนำในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถควบคุมอาการหรือหยุดยาได้ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาเป็นเวลานานแล้วมีผลข้างเคียงจากยา ผู้ป่วยอายุน้อยที่จำเป็นต้องรับประทานยาเป็นเวลา และผู้ป่วยที่มีผลแทรกซ้อนที่รุนรงจากโรคเฉพาะผู้ป่วยเด็ก


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...