การตรวจการได้ยินในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก

พญาไท 2

2 นาที

อ. 31/03/2020

แชร์


Loading...
การตรวจการได้ยินในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก

เนื่องจากเด็กเล็กหรือทารกแรกเกิดจะไม่สามารถบอกเราได้ว่า เขามีการได้ยินที่ปกติหรือไม่ แต่ผู้ปกครองจะสังเกต ‘การได้ยินของลูกว่ามีความผิดปกติหรือไม่’ จากการเรียกชื่อลูกแล้วลูกไม่หันมา ลูกไม่มีปฏิกิริยาที่เหมาะสม หรือการที่เด็กถึงวัยที่ควรพูดเป็นคำๆ ได้แล้ว แต่ยังไม่พูด ซึ่งอาจเกิดจากการที่ เด็กมีความบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนาทางด้านภาษาและการพูด ไปจนถึงสูญเสียการได้ยินไปเลย ทั้งนี้ มีสถิติที่น่าสนใจว่า…

 

  1. ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบอัตราการสูญเสียการได้ยินในเด็กแรกเกิด 1-5 คนต่อเด็ก 1,000 คน ที่มีความผิดปกติของการได้ยินแต่กำเนิด และเด็กแรกเกิดจนถึง 6 เดือนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องพักรักษาตัวใน ICU พบอัตรา 1:50 คน ที่มีความเสี่ยงของการบกพร่องของการได้ยิน
  2. ในประเทศไทย พบอัตราการสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยรวม 1.7 ต่อ 1,000 คน
  3. ภาวะติดเชื้อในช่องหู ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กจนถึงอายุ 11 ปี พบว่ามีความบกพร่องของการได้ยินเกือบ 100%
  4. เด็กที่มีความบกพร่องของการได้ยินที่ได้รับวินิจฉัยและรักษาก่อนอายุ 6 เดือน จะมีพัฒนาการทางภาษาดีกว่าเด็กที่ได้รับวินิจฉัยล่าช้า

 

การได้ยินบกพร่องส่งผลอย่างไรต่อเด็ก ?

การได้ยินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการพูด ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินบกพร่อง อาจจะมีอาการหูอื้อหูตึง (ได้ยินไม่ชัดเจนหรือฟังไม่รู้เรื่อง) หูหนวก (ไม่ได้ยินเสียงเลย) ในเด็กเล็กหากมีการได้ยินผิดปกติ จะทำให้มีพัฒนาการทางภาษาพูดที่ล่าช้า ไม่เหมาะสมกับวัย มีผลกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ พฤติกรรมและพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมในอนาคต

 

การตรวจคัดกรองการได้ยิน

ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถตรวจการได้ยินในเด็กแรกเกิดได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และผลการตรวจเชื่อถือได้พอควร จึงทำให้มีการตรวจการได้ยินในทารกแรกเกิดกันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยในการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่

  • Otoacoustic Emissions (OAEs) คือ การตรวจวัดเสียงสะท้อนจากเซลล์ขนในหูชั้นใน เป็นการตรวจการทำงานของปลายประสาทรับเสียงในหูชั้นใน การตรวจทำโดยใส่เสียงเข้าไปในหูขณะเด็กอยู่นิ่งๆ และวัดเสียงที่เกิดขึ้นจากการทำงานของหูชั้นใน เครื่องจะบันทึกการตอบสนองโดยอัตโนมัติ การตรวจทำง่าย ใช้เวลาน้อย ไม่เจ็บปวด สามารถทราบผลทันที และผลมีความเชื่อถือได้มากกว่า 95%
  • ถ้าผลตรวจแสดงค่า “ผ่าน” (PASS) แสดงว่าการทำงานของหูชั้นกลางและประสาทรับฟังเสียงในหูชั้นในปกติ
  • ถ้าผลตรวจแสดงค่า “ส่งต่อเพื่อทำการตรวจซ้ำ” (REFER) แสดงว่า อาจเกิดจากภาวะที่เด็กมีสิ่งอุดกั้นต่างๆ ในช่อง หู เช่น ไข น้ำคร่ำ ขี้หู ทำให้ไปขัดขวางการตรวจวัดเสียงสะท้อนจากหูชั้นใน หรือเกิดจากการทำงานของหูชั้นกลางหรือหูชั้นในผิดปกติ ถ้าพบเช่นนี้แล้วจะตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล ถ้าตรวจซ้ำครั้งที่ 2 และ 3 ยังคง (REFER) จะต้องทำการตรวจวิธีอื่นเพิ่มเพื่อวินิจฉัยต่อไป

 

ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินที่ปรากฏว่า “PASS” ในหูทั้ง 2 ข้างเป็นการแสดงถึง ภาวะการทำงานในหูชั้นในที่ปกติขณะนั้น แต่ทั้งนี้เด็กอาจมีความผิดปกติของการได้ยินที่เกิดขึ้นภายหลังจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ การติดเชื้อหัด คางทูม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การได้รับยาที่มีพิษต่อหู การฟังเสียงอึกทึก การอักเสบของหูชั้นกลาง ประสาทหูเสื่อมจากกรรมพันธุ์ที่มีอาการภายหลัง เป็นต้น

  • Auditory Brainstem Response (ABR) (การตรวจการได้ยินระดับการสมอง) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของการได้ยินในเด็กเล็ก ทำโดยการติดสื่อนำสัญญาณ (Electrode) เพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระบบประสาทหูชั้นในส่วนลึก เมื่อปล่อยเสียงเข้าไปตรวจในหู เด็กต้องหลับสนิท ใช้เวลาในการตรวจประมานครึ่งชั่วโมง ผลมีความแม่นยำมากกว่า 98%

 

เมื่อไหร่จึงควรพาลูกไปตรวจการได้ยิน ?

ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก ทันทีที่สงสัยว่าเด็กมีการได้ยินผิดปกติหรือมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาการได้ยินดังต่อไปนี้

  • มีประวัติครอบครัวหรือเครือญาติที่มีเด็กหูหนวก หรือเป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด
  • เด็กมีความผิดปกติของใบหน้า ใบหู และช่องหูผิดรูป
  • แม่มีประวัติการติดเชื้อหัดเยอรมัน ซิฟิลิส ไข้สุกใสตั้งแต่ตั้งครรภ์
  • มารดาดื่มสุรา สูบบุหรี่ ติดยาเสพติดหรือสารระเหย ระหว่างตั้งครรภ์
  • เด็กมีภาวการณ์เจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องได้รับการรักษาในหออภิบาลวิกฤตทารกแรกเกิด (ไอ ซี ยูเด็ก) นานเกิน 48 ชั่วโมง
  • เด็กมีประวัติเจ็บป่วยที่สำคัญในช่วงแรกคลอดจนถึงอายุ 28 วัน เช่น ตัวเหลืองจนได้รับการเปลี่ยนถ่ายเลือด หรือมีปัญหาการหายใจจนต้องได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นต้น
  • เด็กมีประวัติได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ
  • เด็กมีประวัติการติดเชื้อที่ทำให้หูหนวกได้ เช่น หัด คางทูม เยื่อหุ้มสมองอักเสบและไข้สมองอักเสบ เป็นต้น
  • เด็กมีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันบ่อยๆ หรือมีน้ำในหูชั้นกลางติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  • เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือนไม่สะดุ้งตกใจเวลามีเสียงดัง ไม่หันหาเสียง ไม่หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงปลอบไม่เล่นน้ำลายหรือส่งเสียงอืออา
  • เด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ไม่ตอบสนองต่อเสียง เรียกชื่อ ไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ
  • เด็กอายุระหว่าง 1-2 ปี แต่ยังไม่สามารถพูดคำที่มีความหมาย หรือพูดได้น้อยกว่า 20 คำ ไม่ตอบสนองต่อเสียง

แชร์

Loading...
Loading...
Loading...