Hearing Loss คือ การสูญเสียการได้ยิน หมายถึง ความสามารถในการรับฟังเสียงต่างไปจากมาตรฐานที่กำหนด การได้ยินที่ปกติมีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 25 เดซิเบล ในความถี่ประมาณ 500-2000 เฮิรตซ์
การสูญเสียการได้ยินมี 2 ลักษณะ
1. การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง (conductive hearing loss)
พยาธิสภาพอยู่ที่บริเวณหูชั้นนอก แก้วหู และหูชั้นกลาง สาเหตุที่ทำให้เกิดได้แก่ การอุดตันของรูหู จากขี้หู หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ดังนี้
- ขี้หู สร้างมาจากต่อมที่อยู่ใต้ผิวหนังในรูหู จะคอยทำหน้าที่ป้องกันแมลงและมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนจึงป้องกันการอักเสบในรูหู ปกติร่างกายเราตามธรรมชาติมีการลำเลียงขี้หูออกมาด้านนอกในลักษณะเป็นผุยผง แต่ถ้ามีการรบกวน เช่น เช็ดหรือปั่นหูด้วยไม้พันสำลีกลับจะเป็นการดันให้ขี้หูลึกเข้าไปในรูหูและทับถมกันเป็นก้อนแข็งได้
- สำหรับสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ มักเป็นเศษของเล่น เมล็ดผลไม้ เศษสำลี หรือแมลง
- แก้วหูทะลุ พบในผู้ป่วยหูชั้นกลางอักเสบ หรือจากการบาดเจ็บเช่น ถูกตบหู ของแหลมทิ่มแก้วหู
- มีน้ำหรือของเหลวขังในหูชั้นกลาง พบในผู้ป่วยที่มีท่อปรับความดันทำงานไม่ปกติจากการอักเสบของหูชั้นกลาง มีเนื้องอกหลังโพรงจมูกหรือจากการดำน้ำ
- กระดูก 3 ชิ้นไม่ต่อกัน กระดูกหูหลุด พบในอุบัติเหตุต่อศีรษะ กระดูกถูกทำลายในหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง กระดูกหูแข็งไม่ขยับพบในโรค otosclerosis
2. การสูญเสียการได้ยินชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง (sensorineural hearing loss)
พยาธิสภาพอยู่ที่บริเวณหูชั้นในและเส้นประสาทหู สาเหตุที่ทำให้เกิดมีดังนี้…
- เป็นมาแต่กำเนิด
- การติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ซิฟิลิส
- ได้ยินเสียงที่ดังเฉียบพลัน หรือดังมากกว่า 90 เดซิเบลเป็นเวลานาน
- ได้รับยาที่เป็นพิษต่อหูชั้นใน เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาแก้ปวดและลดไข้บางชนิด ยารักษาโรคมาลาเรียบางชนิด ยารักษาโรคมะเร็งบางชนิด
- ภาวการณ์ได้ยินเสื่อมในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และในผู้ป่วยฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
- พบในโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) พบร่วมกับอาการเวียนศีรษะและหูอื้อ
- เนื้องอกในสมอง
นอกจากนั้นพบยังการสูญเสียการได้ยินชนิดผสม ทั้งการนำและประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง (mixed hearing loss) ร่วมกันได้เช่นกัน
การวินิจฉัยและการรักษา
เมื่อมีการสูญเสียการได้ยินควรได้รับการชักประวัติตรวจการได้ยิน เพื่อแยกโรคว่าเป็นการสูญเสียชนิดการนำบกพร่อง ชนิดประสาทรับฟังเสียงบกพร่องหรือเป็นชนิดผสม นอกจากนี้การตรวจพิเศษเช่นตรวจคลื่นสมองเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือคลื่นแม่เหล็กอาจจำเป็นในผู้ป่วยบางรายเพื่อช่วยวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องสำหรับการรักษาแต่ละโรคจะแตกต่างกันไป