จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ปีละกว่า 13,000 คน หรือเฉลี่ยมากถึงวันละ 37 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้เกิดอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง เคลื่อนไหวไม่ได้หรือเคลื่อนไหวลำบากอย่างทันทีทันใด เป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมง โรคนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะที่เกิดคือ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือตัน (Ischemic stroke) และโรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) การเฝ้าระวังและการรู้จักสังเกตอาการของโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อพบอาการแม้แค่เริ่มต้น ก็ต้องรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะเสียชีวิตหรือพิการก็จะยิ่งลดลงมากขึ้นเท่านั้น แต่หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที สมองจะได้รับความเสียหายมากจนถึงขั้นไม่สามารถควบคุมสั่งการให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ ผู้ป่วยที่ไม่เสียชีวิตอาจจะกลายผู้ป่วยติดเตียงที่คนในครอบครัวจะต้องคอยดูแลตลอดไป
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง
หลายคนสงสัยว่า โรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรค นายแพทย์วสุวัฒน์ สุขขี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ อธิบายว่า โรคนี้เกิดได้จากหลายปัจจัยประกอบกัน ยิ่งมีหลายปัจจัยก็ยิ่งมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น
1. ปัจจัยในเรื่องวัย และความเสื่อมของร่างกาย: เช่น ในผู้สูงอายุจะพบว่าเส้นเลือดมักมีไขมันหรือหินปูนเกาะ ทำให้ทางเดินในหลอดเลือดแคบลง และเลือดไม่สามารถไหลผ่านได้สะดวกนัก หรือภาวะที่เลือดแข็งตัวเร็วกว่าปกติก็จะทำให้มีลิ่มเลือด หรือการจับตัวของเม็ดเลือดได้ง่ายกว่าในคนปกติ หรือในผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจมีลิ่มเลือดตกค้างในหัวใจและหลุดไปอุดเส้นเลือดในสมองได้
2. ปัจจัยด้านสุขภาพจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน: ในผู้ที่มีภาวะไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือด มักจะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก ส่วนอาการจากโรคเบาหวานก็เสี่ยงที่หลอดเลือดจะแข็งทั่วทั้งตัว ทำให้มีโอกาสหลอดเลือดตีบมากกว่าคนทั่วไปสูงถึง 2-3 เท่า และในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงก็ต้องระวัง เพราะมีภาวะเสี่ยงต่ออาการเส้นเลือดในสมองตีบสูงกว่าคนปกติเช่นกัน
3. ปัจจัยจากพฤติกรรม: เช่น การสูบบุหรี่ อาจทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเป็นโรคเลือดในสมองได้มากถึง 3.5% ในขณะที่สตรีที่ทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำก็จะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองตีบได้
5 สัญญาณเตือนภัยอาการโรคหลอดเลือดสมอง
นายแพทย์วสุวัฒน์ สุขขี กล่าวว่า “หากพบผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ เหล่านี้ ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลหรือไปพบแพทย์ทันที เพราะนี้คือ 5 สัญญาณเตือนภัยอาการโรคหลอดเลือดสมอง” ที่ต้องรีบรักษา ประกอบด้วย
1. เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินโซเซ คล้ายคนเมาสุรา
2. รู้สึกแขนขาไม่มีแรง ชาบริเวณแขนขาข้างใดข้างหนึ่งแบบทันทีทันใด หรืออ่อนแรงทั้งแขนและขาในซีกเดียวกัน
3. เห็นภาพซ้อน สายตามัว หรือตาบอดข้างเดียว หรือมองเห็นภาพเพียงครึ่งซีก
4. ปากเบี้ยว มุมปากตก จะสังเกตได้ชัดเมื่อให้ผู้ป่วยยิงฟันหรือยิ้ม น้ำลายไหล กลืนอาหารลำบาก การพูดผิดปกติ อาจพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ ตอบคำถามที่ปกติทราบดีแต่คิดไม่ออก ฟังไม่เข้าใจภาษาแบบทันทีทันใด
5. ปวดศีรษะรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอาจมีอาเจียน หรือหมดสติแบบทันทีทันใด
ป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร
จะเห็นได้ว่า โรคนี้หากเป็นแล้วต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยทันที แต่เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลืองสมอง นายแพทย์วสุวัฒน์ สุขขี มีขอแนะนำดังนี้
1. หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้สูงวัย
2. ออกกำลังกายเบาๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
3. ลดการทานหวาน เพราะหากมีน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวและตีบแคบ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกและไปเลี้ยงสมองไม่พอ สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรรักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ
4. เลือกบริโภคอาหารที่มีกากใยสูง ไขมันต่ำ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง ก้อนไขมันจะมาเกาะติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวแข็งขึ้น หลอดเลือดจะตีบแคบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
5. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
6. ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในที่ที่ต้องรับควันบุหรี่ เนื่องจากควันของบุหรี่จะเข้าไปทำลายอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ปอด หัวใจ และหลอดเลือด
เมื่อใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท หมั่นดูแลสุขภาพอยู่เสมอก็เหมือนลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทบจะทุกโรค อย่างไรก็ตาม หากพบสัญญาณเตือนจากอาการของโรคหลอดเลือดในสมองดังที่กล่าวมา ต้องรีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาโดยเร็วภายใน 3 ชั่วโมงนับจากเริ่มมีอาการก็จะยิ่งมีโอกาสหายดีมากยิ่งขึ้น