ปัญหาลูกพูดโกหก สร้างความเครียด ความกังวลใจและเป็นห่วงในพฤติกรรมนี้ให้พ่อแม่ไม่น้อย แต่นั่นอาจไม่ใช่เพียงเพราะบรรยากาศภายในครอบครัวหรือโรงเรียนที่ทำให้ลูกซึมซับพฤติกรรมด้านลบ แต่อาจเกิดจากการพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็กได้เหมือนกัน
โดย พญ.ชนม์นิภา แก้วพูลศรี กล่าวว่า… การโกหกนั้น เราสามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่สำหรับในช่วงวัยเด็กเล็กนั้นเขาอาจยังไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงหรือจินตนาการออกจากกันได้ เช่น ในเด็กวัยอนุบาลเมื่อเขาดูการ์ตูนเขาอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง เขาอาจพูดหรือคิดไปตามจินตนาการของเขาโดยไม่ตรงกับโลกความเป็นจริง พ่อแม่อาจคิดว่าทำไมลูกพูดไม่ตรงตามความจริง และเข้าใจว่าลูกนั้นชอบพูดโกหกตั้งแต่เด็ก ซึ่งในความเป็นจริงหากสิ่งเหล่านั้นเกิดกับเด็กวัยเล็กๆนั้น เราควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “เด็กโกหก” เนื่องจากความคิด ความอ่าน หรือการสื่อสารของเขานั้นยังพัฒนาไม่เต็มที่นั่นเอง
ลูกวัยประถม..กับพฤติกรรมการโกหก
หากพฤติกรรมโกหกเกิดกับเด็กในวัยประถม ซึ่งเราถือว่าเด็กในวัยนี้นั้นเขาสามารถแยกแยะเรื่องจริง และจินตนาการได้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้ถึงสาเหตุในการพูดโกหกของลูกก่อนว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง โดยเราสามารถแบ่งได้ดังนี้
- เด็กบางคนอาจพูดเติมแต่งเพื่ออยากให้คนอื่นสนใจเด็กมากขึ้น ให้ได้รับความนิยมชมชอบจากคนอื่นมากขึ้น
- เด็กบางคนพูดโกหกเพื่อหลีกหนีความผิดหลีกหนีการถูกลงโทษ หรือเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้โดนดุ เพราะผู้ใหญ่เมื่อพบว่าเด็กโกหกแล้วมักทำโทษเขาแบบรุนแรง จนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไม่ว่าเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ เขาจึงเลือกการโกหกเพื่อหลีกหนีการโดนลงโทษที่รุนแรง
- เด็กบางคนอาจทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองหรือกลุ่มเพื่อน เช่น โกหกเพื่อการถูกยอมรับในกลุ่มเพื่อน เป็นต้น
วิธีรับมือกับพฤติกรรมลูกโกหก
- ในเด็กเล็ก เราควรสอนเขาตั้งแต่เด็กๆ หากเขาพูดไม่ตรงตามความจริง เราควรพูดคุยกับเด็ก สอนให้เด็กเข้าใจว่าความจริงคืออะไร โดยที่เราไม่ควรไปตำหนิหรือดุด่าเขา และเราเองจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกตั้งแต่เขายังเล็กๆ ไม่พูดโกหกให้เขาเห็น หากมีอะไรภายในบ้านเราควรพูดกันตรงๆ แสดงให้ลูกเห็นว่าเรารับฟังปัญหาของเขาได้ หรือแม้กระทั่งพ่อ แม่ และผู้ใหญ่ในบ้านเองก็ควรพูดจากันแบบตรงไปตรงมาโดยที่ไม่ทำร้ายน้ำใจกัน เพราะหากเด็กได้เรียนรู้ในบรรยากาศนี้เขาจะซึมซับพฤติกรรมไปอย่างอัตโนมัติว่าเขาสามารถพูดความจริงได้อย่างตรงไปตรงมาเมื่อเขาทำผิด และเขาถูกลงโทษอย่างเหมาะสมในส่วนที่เขาทำผิดและในขณะเดียวกันก็มีการชื่นชมเพื่อให้แรงเสริมในส่วนที่เขากล้าพูดความจริงออกมา ซึ่งนั่นเป็นการแสดงให้เด็กเห็นว่าแม้เขาจะทำผิด แต่การที่เขายอมพูดจริงออกมานั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเขาจะรู้สึกภูมิใจในตนเอง เป็นต้น
- หากพฤติกรรมโกหกนั้นเป็นไปเพื่อการเรียกร้องให้คนอื่นมาสนใจฟังเขา เราควรแสดงอาการเฉยๆ ไม่ตอบสนองให้เขาเห็นว่าเราอยากฟัง หรือสนใจ แต่ให้เพิ่มเวลาสนใจเด็กให้มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอในตอนที่เด็กไม่มีปัญหาอะไร เพราะบางครั้งนั้นเราอาจไม่ได้มีเวลาใส่ใจรับฟังเขามากเท่าที่ควรจะเป็น แต่เมื่อไหร่ที่เขามีปัญหา เช่น โกหก พ่อแม่ก็จะเข้ามาสอน ตักเตือน ให้ความสนใจ นั่นทำให้เด็กรู้สึกว่าการที่เขานั้นมีปัญหา พ่อแม่ก็จะสนใจเขามากขึ้น เพราะฉะนั้นเราควรใส่ใจเขาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะหากเมื่อลูกพูดจาดี สร้างสรรค์ และพูดความจริง เราควรให้เวลากับลูกให้มากเมื่อเขามีพฤติกรรมที่ดีและทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตั้งแต่เขายังเล็กจนเติบโตเป็นวัยรุ่น ปัญหาเรื่องการพูดโกหกก็จะน้อยลง หรืออาจไม่พบปัญหานี้เลย
- หากการโกหกนั้นเป็นไปเพื่อให้กลุ่มเพื่อนยอมรับ พ่อแม่สามารถใช้ความสัมพันธ์ที่ดี สอบถามถึงสาเหตุให้เด็กได้อธิบายตามความเข้าใจของเขา พ่อแม่ควรรับฟังสาเหตุให้เข้าใจก่อน เพื่อจะได้พูดคุยให้เด็กเห็นทางเลือกหรือวิธีการอื่นๆที่เป็นพฤติกรรมที่ดีและทำให้ได้เด็กรับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนได้เช่นเดิม พ่อแม่สามารถชวนให้เด็กคิดแบบรอบด้านทั้งผลดี-ผลเสียที่จะเกิดตามมาระหว่างการพูดโกหกและการพูดความจริง เพื่อให้เด็กได้ตัดสินใจเลือกที่จะปรับตัวเองด้วยตนเอง จะทำให้เด็กปฏิบัติตามได้มากกว่าที่พ่อแม่ไม่รับฟัง ตำหนิ และบอกให้ลูกทำอะไรอยู่ฝ่ายเดียว
สุดท้ายหากเราอธิบายหรือแสดงเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็นแล้ว แต่เด็กเองก็ยังไม่ดีขึ้น เราควรหาสาเหตุถึงพฤติกรรมเหล่านั้นอื่นๆไม่ว่าจะเป็นโรคหรือความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือโรคจิตเวชเด็ก ผู้ปกครองควรพามาพบจิตแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป