เมื่อแพทย์ตรวจวินิจฉัยว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงของโรค ซึ่งในผู้ป่วยบางรายที่ยังไม่มีอาการก็ยังไม่จำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัด แต่หากมีอาการก็จะต้องพิจารณาถึงสุขภาพและความพร้อมของผู้ป่วยร่วมด้วย
นิ่วในถุงน้ำดี มีกี่วิธีรักษา
การรักษานิ่วในถุงน้ำดี ไม่สามารถรักษาด้วยการใช้เครื่องสลายนิ่วได้ เพราะสาเหตุการเกิดนิ่วเป็นคนละแบบกับนิ่วในระบบไตและนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ นายแพทย์ หะสัน มูหาหมัด ศัลยแพทย์ทั่วไปโรคมะเร็งและผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดถุงน้ำดีด้วยกล้อง โรงพยาบาลพญาไท 1 อธิบายถึงทางเลือกในการรักษาไว้ ดังนี้
- ผู้ป่วยที่ยังอายุน้อย สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี และไม่มีการอักเสบของนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์จะยังไม่ทำการรักษาหรือผ่าตัด แต่จะให้สังเกตอาการและพบแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพราะผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีจำนวนมากจะไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเลยตลอดชีวิต
- ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีออกในขณะที่ถุงน้ำดียังไม่เกิดการอักเสบ เพราะหากปล่อยให้มีการอักเสบจะทำให้การผ่าตัดเกิดความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย
- รักษาด้วยการผ่าตัด
ผู้ป่วยแบบใดที่ควรรักษาด้วยการผ่าตัด
เนื่องจากการรักษานิ่วในถุงน้ำดีด้วยการใช้ยาละลายนิ่วมักไม่ค่อยได้ผล และต้องรับประทานยาเป็นเวลานาน เมื่อหยุดยาก็อาจเกิดนิ่วในถุงน้ำดีซ้ำได้อีก จึงไม่นิยมรักษาด้วยวิธีนี้ แพทย์จึงแนะนำว่า ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการแล้ว ควรผ่าตัดในทุกราย โดยการผ่าตัดที่นิยมกันมี 2 ประเภท คือ
- ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Cholecystectomy) ปัจจุบันจะใช้วิธีนี้ก็ต่อเมื่อ ผู้ป่วยมีอาการอักเสบมากหรือถุงน้ำดีแตกทะลุในช่องท้อง
- ผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Cholecystectomy) ใช้ในกรณีไม่มีถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ หะสัน มูหาหมัด แนะนำว่า “สาเหตุหลักของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี คือนิสัยการกินที่ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูงมาตั้งแต่เด็กและปล่อยให้อ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หากใครเข้าข่ายนี้และเริ่มมีอาการท้องอืด จุกเสียดบ่อยๆ หลังมื้ออาหาร โดยเฉพาะหลังกินอาหารมันๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและรีบรักษาจะดีกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ควรรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นจะดีที่สุด”