การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ โดยในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2562 จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่จาก สายพันธุ์ Southern Strain เป็นสายพันธุ์ Northern strain และมีการเปลี่ยนเชื้อไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนจาก 2 ใน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Michigan(H1N1) เปลี่ยนเป็น ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Brisbane(H1N1) และ ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Switzerland(H3N2) เปลี่ยนเป็น ไวรัสชนิด A สายพันธุ์ Kansas(H3N2) แต่สำหรับไวรัสชนิด B ยังคงเป็นสายพันธุ์เดิม ได้แก่ ไวรัสชนิด B สายพันธุ์ Colorado และ ไวรัสชนิด B สายพันธุ์ Phuket

ในประเทศไทยพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ได้ทั้งปีแต่พบได้มากขึ้นในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ดังนั้นจำเป็นต้องฉีดวัคซีนทุกปีเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดซ้ำได้ภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่

มีระยะฟักตัว 1-4 วัน ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง มักมีอาการสำคัญที่เด่นชัด ได้แก่

มีไข้สูง

ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก

มีน้ำมูก และไอ

ในประเทศไทยพบโรคนี้มากถึงร้อยละ 48 ของผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันโดยเฉพาะช่วงระบาด ซึ่งโรคนี้มักอาการไม่รุนแรงและหายได้เองใน 5-7 วัน แต่อาจจะพบปอดบวม หรือสภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล และเสียชีวิต โดยเฉพาะในคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดใหญ่ (ผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพบางอย่าง และผู้สูงอายุ)

ผลกระทบต่อร่างกายเมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

เซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลาย สามารถติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ เช่น หูชั้นกลางอักเสบหรือปอดบวม

หลอดเลือดอักเสบมากขึ้นเพิ่มโอกาสไขมันในเส้นเลือดแตกไปอุดตันเส้นเลือด จึงเพิ่มความเสี่ยงการกำเริบของหัวใจ และหลอดเลือด

เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้โรคปอดโรคหอบหืด และถุงลมโป่งพองกำเริบ และอาการรุนแรงมากขึ้น

เกิดความผิดปกติของระบบเผาผลาญ คนเป็นโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ทำให้อาการของเบาหวานรุนแรงขึ้น

ภาวะไข้สูงร่างกายเกิดการเสียน้ำ ส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ

ใครบ้าง? ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกัน

เพราะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงอาจเกิดอาการรุนแรงหรือผลแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้สูง รวมถึงผู้ดูแลใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ดังนั้น ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่

เด็กเล็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป

ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย โรคตับ มะเร็ง เบาหวาน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

คนที่มี BMI มากกว่า 35 หรือน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม

ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

หญิงมีครรภ์ที่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป

บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ
ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศอเมริกา ยุโรป จีน และในประเทศที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่

ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ถึง 70 ถึง 90%

ลดการติดเชื้อในหูชั้นกลางได้ 36% ในเด็ก

ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ 60% ในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

ลดอัตราการตายจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้ 70 ถึง 80% ในผู้สูงอายุที่มากกว่า 65 ปี

ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยเบาหวาน

ลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 79%

ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 56%

ลดการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ 28%

ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยโรคหัวใจ

ลดการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ 75%

ลดการเกิดภาวะของหัวใจและหลอดเลือดได้ 30%

ลดการเกิดภาวะหลอดเลือดสมอง (Stroke) 24%

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ศูนย์อายุรกรรม และศูนย์วัคซีน ชั้น 1 อาคาร A โรงพยาบาลพญาไท 2

โทร. 02-617-2444 ต่อ 4104, 4106 Phyathai Call Center 1772

ไข้หวัดใหญ่เปลี่ยนแปลงสายพันธุ์...ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน