เรามักจะเคยได้ยินคำว่า โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) แต่หากเจาะลึกไปกว่านั้น โรคหลอดเลือดสมอง จะมีทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบ ตัน (ischemic stroke) และโรคหลอดเลือดสมองแตก (intracranial hemorrhage) ซึ่งชนิดของโรคจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด โดยบทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจใน “โรคหลอดเลือดสมอง” ได้มากยิ่งขึ้น!
ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองตีบ ตัน (ischemic stroke) เกิดจากหลายสาเหตุ
-
- เกิดจาก เส้นเลือดใหญ่ในสมองแข็งและตีบตัน (atherothrom-bosis) ทำให้เนื้อสมองตายเป็นบริเวณกว้าง และอาจเกิดสมองบวมกดเนื้อสมองข้างเคียงตามมาได้
-
- เกิดจากก้อนเลือดเล็กๆ มาตามกระแสเลือด มาอุดตันเส้นเลือดใหญ่ในสมอง (embolism) อาจมาจากหัวใจ (cardioembolic) หรือเส้นเลือดใหญ่ก็ได้ (artery to artery)
-
- เกิดจากการเสื่อมของเส้นเลือดเส้นเล็ก (lacunar infarction) บริเวณเนื้อสมองตาย จะไม่มากแต่ผู้ป่วยอาจจะอ่อนแรงมากๆได้
โรคหลอดเลือดสมองแตก (intracranial hemorrhage) มีได้หลายชนิด
-
- เลือดออกในเนื้อสมอง (intracranial hemorrhage) เกิดจากผนังเส้นเลือดเสื่อมสภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงนานๆ หรือควบคุมความดันโลหิตได้ไม่ดี
-
- เลือดออกในเนื้อสมองจากการที่เส้นเลือดมีสารอมัยลอยด์สะสม (amyloid angiopathy) และทำให้เส้นเลือดแตก มักมีอาการสมองเสื่อมร่วมด้วย มักพบในคนสูงอายุ แต่พบได้ไม่บ่อยนัก
-
- การแตกของเส้นเลือดโป่งพอง (ruptured aneurysm)ในช่องที่อยู่ของน้ำไขสันหลัง (subrachnoid hemorrhage) ซึ่งผู้ป่วยมักมีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
-
- เส้นเลือดดำและแดงต่อกันผิดปกติ (arteriovenous malformation) ทำให้มีเลือดออกทั้งในเนื้อสมองและในช่องที่อยู่ของน้ำไขสันหลัง (subrachnoid hemorrhage)
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (ischemic stroke)
เกิดจากการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนใดส่วนหนึ่งทำให้เกิดอาการผิดปกติของการทำงานร่างกายส่วนที่สมองส่วนนั้นๆ ควบคุม
ทั้งนี้ถ้าอาการอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงจะเรียกว่าเป็น การขาดเลือดแบบชั่วคราว (Transient ischemic attack หรือ TIA หรือ mini-Stroke) ซึ่งโดยมากอาการมักไม่นานเกินครึ่งชั่วโมง
ความสำคัญ คือ ถ้าเกิดการขาดเลือดแบบชั่วคราว (TIA) ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบตันถาวร ตามมาได้ถึง 1 ใน 10 คน ในสัปดาห์แรก และประมาณ 2 ใน 10 คนในเดือนแรก หลังจากนั้นโอกาสจะน้อยลงเป็นประมาณ 4-5 ใน 100 คน ต่อปี แพทย์จึงเน้นให้ผู้ป่วยที่สงสัยว่าตนมีอาการของการขาดเลือดชั่วคราวมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
อาการเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
-
- อาการทางระบบประสาทที่เป็นอย่างรวดเร็วหรือทันที
- อ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก มองไม่เห็นครึ่งซีก
- ตาบอดชั่วขณะ
- พูดไม่เป็นภาษา หรือไม่เข้าใจภาษา
- เวียนศีรษะตลอดเวลาโดยไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนท่าทาง
- เดินเซ ภาพซ้อน ตาเหล่ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยใดบ้าง..เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
โอกาสที่จะเกิดโรคในแต่ละคนแตกต่างกันขึ้นกับปัจจัยที่เสี่ยง เช่น อายุมาก เพศชาย และการมีประวัติคนในครอบครัว ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ จะมีโอกาสเป็นโรคมากกว่า คนอายุน้อย เพศหญิง และคนที่ไม่มีประวัติในครอบครัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, การสูบบุหรี่, การไม่ออกกำลังกาย, ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปัจจัยเสี่ยงกลุ่มนี้สามารถควบคุมและปรับเปลี่ยนได้ด้วยการรักษาต่อเนื่อง และการใส่ใจดูแลตนเองของผู้ป่วย
มีรายงานว่าการดื่มเหล้าปริมาณเล็กน้อยไม่เกินวันละ 1 แก้ว ช่วยลดการแข็งตัวของเส้นเลือด แต่ถ้าดื่มมากเป็นประจำจะเป็นพิษต่อตับ เกิดตับแข็ง โรคอ้วน ตับอ่อนอักเสบ เบาหวาน และเส้นเลือดในสมองแตกเนื่องจากผลการศึกษาไม่แน่ชัด และประโยชน์ที่ได้เพียงเล็กน้อย โดยทั่วไปแพทย์จะไม่แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มเหล้าด้วยเหตุผลดังกล่าว
โรคหลอดเลือดสมอง รักษาได้ด้วยวิธีนี้
-
- การใช้ยา เช่น ยาต้านเกร็ดเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin) คโรพิโดเกล (Clopidogrel) ไดโพริดาโมล (dipyridamole) หรือการใช้ยาลดการแข็งตัวของเลือด เช่น วาฟาริน (warfarin) ถ้าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ
-
- การผ่าตัด ใช้ในบางกรณีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ระยะของโรค และการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย เช่น ถ้าสมองส่วนที่ตายเกิดบวมมากจนกดสมองส่วนอื่นก็จำเป็นต้องผ่าตัด หรือการผ่าตัดเส้นเลือดที่คอตีบที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการสมองขาดเลือด ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นราย ๆ ไป
รีบป้องกัน…ก่อนสายเกินแก้
ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ คือการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง เช่น คุมเบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิต ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รักษาโรคร่วมเช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างต่อเนื่อง งดสูบบุหรี่ เหล้า และออกกำลังกายเป็นประจำ
ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นซ้ำหรือไม่
ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้ยาต้านเกร็ดเลือดระยะยาว แต่ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตันมีโอกาสเกิดซ้ำได้ใน 5 ปี แอสไพรินจะลดโอกาสเกิดเส้นเลือดในสมองตีบซ้ำ ลดลงไปร้อยละ 18 (เช่น จาก 5 คนเป็น 4 คน) นั่นหมายถึง ยาไม่ได้ป้องกันการเกิดซ้ำได้ทุกราย ยิ่งกว่านั้นการเกิดเส้นเลือดในสมองตีบซ้ำจะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมตามมาภายหลัง
“ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องทานยาตลอดชีวิต ดูแลตนเองและควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”
ติดต่อและขอรับคำปรึกษาได้ที่
ศูนย์ระบบประสาทสมอง โรงพยาบาลพญาไท2
โทร 0-2617-2444 ต่อ 7451 , 4484