หลายคนอาจจะแยกไม่ออก เพราะแม้แต่คุณหมอเองก็บอกว่าลักษณะอาการปวดท้องของโรคกระเพาะกับโรคนิ่วในถุงน้ำดีนั้นช่างคล้ายกันเหลือเกิน จึงไม่แปลกที่หลายคนอาจหลงเข้าใจผิดกันได้ แต่เมื่อสังเกตอาการแบบเจาะลึกแล้ว ก็พอจะมีข้อสังเกตที่ชี้ชัดว่าอาการปวดท้องที่เป็นอยู่นั้นเป็นแค่โรคกระเพาะหรือเป็นนิ่วในถุงน้ำดีกันแน่
4 อาการเบื้องต้น ที่ต้องตั้งข้อสังเกต
- ท้องอืด แน่นท้อง หลังทานอาหารมื้อใหญ่
อาการนี้เรียกว่าเป็นอาการยอดฮิตที่ผู้ป่วยมักจะเป็น โดยจะรู้สึกเหมือนมีลมอยู่เต็มกระเพาะ แน่นท้องเหมือนกับอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ๆ หรืออาหารมันๆ ซึ่งจะรู้สึกปวดเป็นพักๆ ปวดเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็หายไป
- ปวดมาก บางครั้งราวไปถึงหลัง
อีกหนึ่งอาการที่ทำให้หลายคนสับสน เพราะเมื่อรู้สึกปวดท้อง ก็มักทานยาโรคกระเพาะเข้าไป แล้วอาการก็เหมือนจะดีขึ้น แต่อีกซักพักก็กลับมาปวดใหม่ โดยมักจะปวดแถวยอดอก ลิ้นปี่ หรือในบางรายอาจปวดร้าวทะลุไปถึงหลังเลยก็มี
- คลื่นไส้ อาเจียน
หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการแทรกซ้อน เช่น มีนิ่วในถุงน้ำดีหลุดเข้าไปถึงลำไส้ เกิดการอุดตัน ก็อาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วยได้เช่นกัน
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
ในรายที่นิ่วนั้นตกลงไปอุดตันที่ท่อน้ำดีใหญ่ อาจส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ตับอ่อนมีอากาอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้
“ปวดเรื้อรัง…มีไข้” จุดสังเกต แยกความแตกต่าง
แม้ว่าอาการของนิ่วในถุงน้ำดีจะเหมือนกับโรคกระเพาะ แต่จะสังเกตได้ว่าอาการปวดท้องหลังทานอาหารมื้อใหญ่ๆ หรืออาหารมันนั้นจะเป็นอยู่อย่างเรื้อรัง แม้ว่าจะรักษาด้วยยาโรคกระเพาะอย่างดีแล้วก็ตาม ซักพักอาการปวดท้องนั้นก็จะกลับมาเป็นใหม่ และอีกหนึ่งจุดสังเกตก็คือ เมื่อเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี คนไข้มักจะมีไข้ร่วมด้วยกับอาการปวดท้อง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของถุงน้ำดี โดยหากเป็นเพียงแค่โรคกระเพาะอาหารนั้นผู้ป่วยจะไม่มีไข้นั่นเอง