ไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (Serotype) คือ DEN1, DEN2, DEN3, DEN4 การติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งในครั้งแรก เรียกว่า การติดเชื้อปฐมภูมิ (Primary infection) อาจไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง อีกทั้งมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ที่เป็น คือประมาณ 6-12 เดือน ส่วนการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ที่เหลือในครั้งต่อไป เรียกว่าการติดเชื้อทุติยภูมิ (Secondary infection) มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนสูง
“ยุงลาย” พาหะที่ก่อให้เกิดโรค
ไข้เลือดออกเกิดจากยุงลาย ส่วนใหญ่เป็นยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ตัวเมียเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ไปกัดคน เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกาย และใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 -10 วัน
ใครบ้าง? ที่เสี่ยงต่อ “โรคไข้เลือดออก” มากที่สุด
เด็กที่ไม่ใช่ทารกหรือเด็กเล็กกว่า 2 ขวบ ทั้งนี้เด็กเล็กๆ เหล่านี้จะมีภูมิต้านทานจากมารดาทางน้ำนม สำหรับเด็กชั้นอนุบาลจะเริ่มเห็นชัดขึ้น เพราะภูมิต้านทานที่ถ่ายทอดมาหมดแล้ว และเด็กกลุ่มนี้มีช่วงนอนกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ยุงลายออกหากิน (ยุงก้นปล่อง นำโรคมาลาเรีย จะออกหากินช่วงหัวค่ำ) อย่างไรก็ตามทุกอายุเป็นได้หมดทั้งสิ้นแต่ยุงลายจะกัดเวลากลางวัน
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเดงกี่ ส่วนใหญ่จะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกและมีจุดแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาการสำคัญแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะคือ
- ระยะไข้ผู้ป่วยจะมีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส อย่างเฉียบพลัน เป็นเวลา 2-7 วัน บางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีหน้าแดง ไม่มีน้ำมูกหรือไอ เบื่ออาหาร อาเจียน ตับโต กดเจ็บ มีผื่นตามตัว มีจุดเลือดออกเล็กๆ กระจายตามผิวหนัง ลำตัว แขน ขา รักแร้ เนื่องจากเส้นเลือดเปราะหรือการทำ Tourniquet test จะพบจุดเลือดออก อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน หรือถ่ายเป็นสีดำ
- ระยะวิกฤต/ช็อก อาการจะเลวลงเมื่อไข้ลดลงกะทันหัน ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบๆ ปากเขียว บางรายอาจมีอาการปวดท้องมาก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ถ้าให้การรักษาไม่ทัน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตใน 12-24 ชั่วโมง แต่ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยจะหายได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดลงอาการต่างๆ จะดีขึ้น ส่วนใหญ่ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว อาจมีเหงื่อออกมากและมือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว แต่จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ จะกลับเป็นปกติ เริ่มรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้ป่วยพ้นระยะอันตราย
- ระยะฟื้นตัว อาการโดยทั่วไปดีขึ้นอย่างชัดเจน ความดันโลหิตและชีพจรปกติ ตับที่โตจะลดขนาดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ มักจะมีผื่นแดงที่ขา ปลายมือปลายเท้าและมีอาการคัน
การดูแลรักษาผู้ป่วยไข้เลือดออก
ในปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี่ จึงให้การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ คือ
- เช็ดตัวลดไข้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการชัก
- ให้ยาลดไข้จำพวกพาราเซตามอล “ห้ามใช้ยาจำพวกแอสไพริน” เพราะจะทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและทำให้เลือดออกง่าย
- ให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำชดเชย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร อาเจียนและอ่อนเพลีย ควรให้ดื่มน้ำผลไม้ น้ำเกลือแร่ โดยดื่มทีละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ
- ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย
- เมื่อสงสัยว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก โดยมีไข้สูงลอย เกิน 38.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 2 วัน หรือหน้าแดง คอแดง ปวดศีรษะ หรือปวดกระบอกตา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว จะทำให้ลดการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกได้
โรคไข้เลือดออก ป้องกันได้นะ
- ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนกางมุ้งหรือมีมุ้งครอบ แม้ตอนกลางวัน
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย โดยกำจัดลูกน้ำในภาชนะต่างๆ ที่มีน้ำขัง ด้วยการใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชู เช่น ใส่ลงในขารองตู้กับข้าว
- ปิดฝาภาชนะสำหรับเก็บน้ำให้มิดชิด เช่น โอ่ง ถังเก็บน้ำ
- หมั่นเปลี่ยนหรือทิ้งน้ำในภาชนะบรรจุน้ำและภาชนะที่มีน้ำขัง เพื่อป้องกันยุงมาวางไข่ เช่น แจกัน จานรองกระถางต้นไม้
- เก็บทำลายเศษวัสดุ เช่น ขวด กระป๋อง เพื่อไม่ให้รองรับน้ำได้
- ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะที่ไม่มีฝาปิดหรือแหล่งน้ำใกล้บ้าน
- ตัดต้นไม้ที่รกครึ้ม เพื่อให้มีแสงสว่างและอากาศถ่ายเทได้ดี
- ป้องกันตัวเองไม่ให้ยุงลายกัด ด้วยการดูแลหน้าต่าง ประตู ช่องลม ไม่ให้ยุงเข้า จัดข้าวของในบ้านไม่ให้กองสุมกัน รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดยุง และทากันยุงให้ถูกต้อง