เมื่อพูดถึงการติดเชื้อ HIV นั้นเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่หากเราศึกษาข้อมูลแล้วจะพบว่า ผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคเอดส์ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวได้ ขอเพียงคอนรอบข้างเข้าใจและเปิดใจ ดังนั้น เพื่อความมั่นใจและการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างปลอดภัย พญ.สุพิชชา องกิตติกุล แพทย์คลินิกอายุรกรรม โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลพญาไท 3 จะมาแนะนำว่าต้องทำอย่างไร?
“การติดเชื้อ HIV” กับ “โรคเอดส์” เหมือนกันหรือไม่ ?
คุณหมอสุพิชชา อธิบายว่า โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome: AIDS) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) โดยที่เอดส์นั้นเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกายถูกทำลายจนกระทั่งไม่สามารถสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ ขณะที่ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจไม่พัฒนาไปจนถึงขั้นเป็นเอดส์
เชื้อ HIV ติดต่อกันได้อย่างไร ?
มีหลายช่องทางที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อจากผู้มีเชื้อได้ ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์ สารคัดหลั่ง
- เลือด จากการใช้เข็มฉีดยา ได้รับเลือดที่มีเชื้อผ่านบาดแผล เยื่อบุ
- จากแม่สู่ลูกในครรภ์ และการให้นมบุตร
ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้ออย่างไร ? ให้ปลอดภัย
เมื่อครอบครัวต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV คุณหมอสุพิชชา บอกว่าสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ คือการหาความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคอย่างรอบด้าน ทั้งการแพร่เชื้อ การป้องกันการติดเชื้อ การรักษา และการพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาตามนัด
- พฤติกรรมที่ทำแล้ว ไม่ติดเชื้อ
- การใช้ช้อนกลาง ระหว่างรับประทานอาหารร่วมกัน
- การกอด
- สามารถซักเสื้อผ้าร่วมกันได้ แต่ที่ต้องซักแยกกันและใส่ถุงมือเสมอ คือ ผ้าที่ปนเปื้อนเลือด สารคัดหลั่ง อุจจาระ ปัสสาวะ
- การใช้สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน แป้งร่วมกัน
- พฤติกรรมที่เสี่ยงติดเชื้อ
- การใช้อุปกรณ์ที่อาจสัมผัสเลือด หรือของใช้เฉพาะบุคคลร่วมกัน เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ แปรงสีฟัน
- เมื่อบุคคลในบ้านป่วย เช่น เป็นไข้ หัด หัดเยอรมัน สุกใส แล้วไม่แยกจากผู้ติดเชื้อ
- บุคคลในบ้านควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด คอตีบ ไอกรน
- ควรล้างมือบ่อยๆ เช่น ก่อนและหลังรับประทานอาหาร การประกอบอาหาร การเข้าห้องน้ำ
- การมีเพศสัมพันธ์ของสามีภรรยา ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และระมัดระวังเรื่องการแพร่เชื้อระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
หากคิดว่า เสี่ยงติดเชื้อ HIV ต้องทำอย่างไร ?
คุณหมอสุพิชชา บอกว่า ควรพบแพทย์ทันที ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี และตรวจหาโรคติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ซี ดูค่าตับ ไต และรับยาต้านไวรัส (Post -Exposure Prophylaxis: PEP) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ โดยจะต้องรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน ผลการป้องกันของยาต้านไวรัสจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดกรณีรับยาภายใน 24 ชม. หลังรับเชื้อ และเข้ารับการตรวจทุกครั้งตามแพทย์นัด และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจทำให้มีโอกาสรับเชื้อ
เมื่อทุกคนในครอบครอบครัวเข้าใจและเปิดใจ การใช้ชีวิตกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงไม่ใช่ที่สิ่งน่ากลัว หรือต้องกังวลอีกต่อไป ชีวิตของคำว่า “ครอบครัว” ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างอบอุ่นดังเดิม