วัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ (Typhoid Vaccine)

พญาไท 2

2 นาที

ศ. 08/06/2018

แชร์


Loading...
วัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ (Typhoid Vaccine)

ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid)

ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid)  เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ซึ่งในปัจจุบันยังคงเป็นภัยคุกคามทางสุขภาพของคนทั่วโลก เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้จากการปนเปื้อนของน้ำและอาหารหรือการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อนี้ โดยมีอาการที่พบได้ทั่วไป เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องผูกและท้องเสีย

ผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์ส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นภายหลังจากที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่ต้องเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อน นอกจากนั้น ยังมีวัคซีนต้านไข้ไทฟอยด์ ซึ่งมักจะมีการให้วัคซีนกับผู้ที่มีโอกาสจะได้รับเชื้อสูงหรือผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้ไทฟอยด์

อาการของไข้ไทฟอยด์
อาการในระยะฟักตัวขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อจาก 3 วันถึง 1 เดือน โดยปกติประมาณ 8-14 วัน สามารถติดต่อได้ตลอดเวลาที่ยังคงพบเชื้อในอุจจาระและปัสสาวะตั้งแต่สัปดาห์แรกจนกระทั่งหาย โดยมีอาการที่เกิดขึ้น ได้แก่

    • เริ่มจากมีไข้ต่ำและค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกวันโดยเฉพาะในช่วงกลางคืน อาจมีไข้สูงได้ถึง 40.5 องศาเซลเซียส
    • ปวดศีรษะ
    • ไอแห้ง
    • เบื่ออาหารและน้ำหนักตัวลดลง
    • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    • ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลีย
    • เซื่องซึม
    • มีเหงื่อออก
    • มีผื่นขึ้นบริเวณหน้าท้องหรือหน้าอก
    • ปวดท้อง ท้องบวม
    • ท้องเสียหรือท้องผูก

หากไม่ได้รับการรักษา อาจมีอาการร่วมเหล่านี้เกิดขึ้น เช่น เพ้อเพราะพิษไข้ หรืออ่อนเพลีย ซึม ปิดตาได้ไม่สนิท หรือปิดตาลงได้ครึ่งเดียว รวมถึงอาจมีความรุนแรงจนทำให้เกิดอาการไม่รู้สึกตัว

สาเหตุของไข้ไทฟอยด์
ไข้ไทฟอยด์มีสาเหตุมาจากแบคทีเรียที่มีความรุนแรง คือ Salmonella Typhi โดยสามารถรับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ผ่านทางการบริโภคอาหารและน้ำ หรือการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่มีเชื้อ

การติดเชื้อทางปาก สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อจากน้ำที่ปนเปื้อนและสาธารณูปโภคที่ไม่ดี ส่วนผู้ป่วยในประเทศที่พัฒนาแล้ว มักจะได้รับเชื้อจากการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคหรือได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหาร

พาหะนำโรคไข้ไทฟอยด์ ผู้ป่วยบางรายที่หายจากไข้ไทฟอยด์โดยการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้ว จะยังคงมีเชื้ออยู่ในลำไส้หรือถุงน้ำดี ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้นับว่าเป็นพาหะนำโรค สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ทางอุจจาระ

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้ไทฟอยด์

    • ทำงานหรือเดินทางไปยังประเทศที่มีไข้ไทฟอยด์เป็นโรคประจำถิ่น เช่น ประเทศอินเดีย
    • เป็นนักจุลชีววิทยาที่ต้องทำงานที่มีความเสี่ยงสัมผัสกับเชื้อ Salmonella Typhi
    • ต้องสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อ
    • ดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนที่มีเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi

การวินิจฉัยไข้ไทฟอยด์

แพทย์จะวินิจฉัยได้จากการซักประวัติทางการแพทย์และประวัติการเดินทางของผู้ป่วย และอาการที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียด้วยการเพาะเชื้อจากเลือด ของเหลวต่างๆ ในร่างกายและเนื้อเยื้อ

นอกจากนั้น วิธีการตรวจวินิจฉัยไข้ไทฟอยด์แบบดั้งเดิมที่ยังคงมีใช้กันอยู่ คือ Widal Test โดยมักจะตรวจพบหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการมาแล้วประมาณ 7-10 วัน  จากการศึกษาพบว่าการตรวจด้วยวิธีนี้มีความไวและมีความจำเพาะในการวินิจฉัยโรคได้หลากหลายมากขึ้นกับแต่ละพื้นที่ที่ทำการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวิธีใดที่มีความไวและความจำเพาะในการวินิจฉัยโรคได้ดีเท่ากับการเพาะเชื้อ

วิธีการนี้..เป็น การเพาะเชื้อจากของเหลวหรือเนื้อเยื่อในร่างกาย แพทย์จะสามารถหาสายพันธุ์ของแบคทีเรียได้จากการดูการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยจะใช้ตัวอย่างเพียงเล็กน้อยของเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง หรือไขกระดูก ร่วมกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ ซึ่งการเพาะเชื้อจากไขกระดูกจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการตรวจหาเชื้อ

อย่างไรก็ตาม การตรวจจากการเพาะเชื้อจะใช้เวลามากและอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด นอกจากนั้น หากพบว่าผู้ป่วยได้เป็นไข้ไทฟอยด์อย่างแน่นอนแล้ว สมาชิกคนอื่น ๆ ที่พักอาศัยอยู่กับผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการค้นหาเชื้อโรคด้วย

แนวทางการรักษาไข้ไทฟอยด์
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ แต่รายที่มีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล

การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับไข้ไทฟอยด์ โดยยาปฏิชีวนะที่นำมาใช้ในการรักษา ได้แก่ ยาไซโปรฟลอกซาซิน ยาเซฟไตรอะโซน หรือยาคลอแรมเฟนิคอล อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้อาจเกิดผลข้างเคียงหรือหากใช้ยาเป็นระยะเวลานานสามารถทำให้เกิดการดื้อยาได้

กรณีที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจให้ใช้ยา ได้แก่

    • ยาไซโปรฟลอกซาซิน
    • ยาคลอแรมเฟนิคอล  
    • ยาไตรเมโทพริม
    • ยาแอมปิซิลลิน   

กรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้ใช้ยาเซฟไตรอะโซน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ฉีดเข้าทางหลอดเลือด หรือใช้ในผู้ป่วยที่ใช้ยารับประทานแล้วไม่ได้ผล โดยยาปฏิชีวนะที่อาจมีปัญหาเชื้อดื้อยา ได้แก่ ยาคลอแรมเฟนิคอล ยาไตรเมโทพริม และยาแอมปิซิลลิน

รักษาตัวที่โรงพยาบาล
โดยปกติจะแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น อาเจียนมาก กลืนอาหารไม่ได้ ท้องเสียรุนแรง หรือเด็ก ควรพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด และอาจต้องให้ของเหลวหรือสารอาหารต่างๆ เข้าทางหลอดเลือด

ส่วนผู้ป่วยที่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด เช่น ภาวะมีเลือดออกภายในร่างกาย หรือบางส่วนของทางเดินอาหารทะลุ แต่กรณีนี้พบว่าเกิดขึ้นได้น้อยมาก

ผู้ป่วยที่เกิดโรคกลับ
อาการของผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจกลับมาเกิดซ้ำได้หรือการเกิดโรคกลับ โดยมักจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะครบแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ แต่อาการมักจะไม่รุนแรงและเป็นไม่นานเท่าครั้งแรก โดยกรณีนี้แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอีกครั้ง หากผู้ป่วยพบว่ามีอาการของการเกิดโรคกลับควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

ผู้ที่เป็นพาหะ
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและมีอาการดีขึ้นแล้ว ควรได้รับการตรวจอุจจาระว่ายังมีเชื้ออยู่หรือไม่ เพื่อตรวจสอบการเป็นพาหะของโรค และอาจต้องได้รับการรักษาด้วยยาปาฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อเพิ่มจนครบ 28 วัน

ภาวะแทรกซ้อนของไข้ไทฟอยด์
ภาวะแทรกซ้อนของไข้ไทฟอยด์มักจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดย 1 ใน 10 ของผู้ที่เกิดภาวะแทรกซ้อนมักจะเกิดขึ้นในระหว่างสัปดาห์ที่ 3 ของการติดเชื้อ

ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
  • กระเพาะอาหารหรือลำไส้เป็นรูทะลุ ซึ่งทำให้สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียงได้

หากแพทย์สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจ CT Scan (Computerized Tomography) หรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่

    • ปอดบวม
    • เยื่อบุหัวใจอักเสบ
    • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
    • ตับอ่อนอักเสบ
    • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
    • เกิดการติดเชื้อในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ
    • เกิดปัญหาทางจิต เช่น อาการเพ้อคลั่ง อาการประสาทหลอน และโรคจิตหวาดระแวง

การป้องกันไข้ไทฟอยด์
          สามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไข้ไทฟอยด์ได้ด้วยการดูแลน้ำดื่มให้มีความสะอาดและปลอดภัย พัฒนาสุขอนามัยและการดูแลทางการแพทย์ให้เพียงพอ อย่างไรก็ตาม วิธีดังกล่าวอาจเป็นวิธีที่ทำให้สำเร็จได้ยาก จึงมีผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการให้วัคซีนจะเป็นวิธีป้องกันที่ดีอีกทางหนึ่ง

วัคซีนต้านไข้ไทฟอยด์มี 2 ชนิด คือแบบฉีดและแบบแคปซูล โดยกลุ่มที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์ ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อได้สูง บุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi โดยตรง และบุคคลที่อาศัยอยู่กับผู้ที่เป็นพาหะนำโรค รวมไปถึงอาจให้วัคซีนในเด็กวัยเรียน สำหรับประเทศที่ไข้ไทฟอยด์เป็นปัญหาสำคัญและมีปัญหาเชื้อดื้อยามาก โดยวัคซีนที่ใช้มักจะมีประสิทธิภาพเป็นระยะเวลาประมาณ 2-5 ปี

เนื่องจากการรับวัคซีนไม่สามารถป้องกันไข้ไทฟอยด์ได้อย่างสมบูรณ์ จึงควรระวังและดูแลตนเอง ได้แก่

    • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ ล้างก่อนการรับประทานอาหารหรือการเตรียมอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
    • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่อาจมีการปนเปื้อนหรือไม่ปลอดภัย
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ดิบ เพราะอาจถูกล้างด้วยน้ำที่มีการปนเปื้อน
    • ดื่มน้ำสะอาด และรับประทานอาหารปรุงสุก เสร็จใหม่
    • ใช้ช้อนกลางตักอาหารขณะรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

การป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

    • รับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่งจนครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
    • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ก่อนการรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
    • ผู้ป่วยที่มีเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสอาหารหรือเตรียมอาหารให้ผู้อื่น จนกว่าจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าผู้ป่วยไม่แพร่เชื้อได้แล้ว

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์อายุรกรรม และศูนย์วัคซีน ชั้น 1 อาคาร A โรงพยาบาลพญาไท 2
โทร. 02-617-2444 ต่อ 4104, 4106 Phyathai Call Center 1772


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...