“ปวดเข่า” อาการที่ใครหลายคนมักนึกถึง “ข้อเข่าเสื่อม” เป็นอย่างแรก แต่สำหรับคนที่มีอายุน้อย..โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬาที่ต้องวิ่งหรือกระโดดเป็นประจำ อาการปวดเข่า เจ็บเข่า หรือเข่าบวม มักไม่ได้เกิดจากปัจจัยความเสื่อม แต่มาจากอาการบาดเจ็บหรือการอักเสบจากการถูกใช้งานหนักๆ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ให้เรื้อรัง ไม่เพียงคุณภาพชีวิตที่ถูกบั่นทอน..แต่อาจเพิ่มโอกาสการเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” ในอนาคตได้!!
ปวดเข่า เข่าบวม…บอกถึงปัญหาอะไรได้บ้าง?
- ปวดเข่าด้านหลังจากกล้ามเนื้ออักเสบ มักพบได้บ่อยในกลุ่มนักกีฬาวิ่งเร็ว หรือนักกีฬาที่ต้องมีการกระโดดอยู่เป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง หรือกล้ามเนื้อ hamstring ถูกกระชาก เมื่อเกิดซ้ำๆ เป็นเวลานาน..ก็ทำให้เกิดการฉีกขาดได้
ลักษณะของอาการ คือ ปวดใต้ข้อพับเข่า และปวดแปลบๆ มากขึ้นเวลาวิ่ง หรือเปลี่ยนจากท่านั่งไปยืนแบบฉับพลัน บางรายอาจมีอาการบวมที่ต้นขาด้านหลังใกล้ข้อพับเข่า และในรายที่อักเสบรุนแรง อาจทำให้เดินลำบากเพราะปวดทุกครั้งที่ก้าวขาลงน้ำหนัก
- ปวดเข่าด้านนอกจากแถบเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ มักพบได้บ่อยในกลุ่มนักวิ่งมาราธอน หรือนักปั่นจักรยานทางไกล เป็นอาการปวดเข่าด้านนอกที่เกิดจากแถบเอ็นกล้ามเนื้อต้นขาด้านข้างเสียดสีกับปุ่มกระดูกบริเวณเข่าด้านข้าง ในระหว่างที่มีการงอและเหยียดเข่าซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
ลักษณะของอาการ คือ จะเจ็บเข่าด้านนอก อาการเจ็บจะเป็นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ก้าวเท้ายาวๆ หรือวิ่งลงเนิน บางรายอาจมีอาการข้อเข่าด้านนอกบวมร่วมด้วย
- กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ ข้อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อย่าง ข้อเข่า นั้น จะประกอบไปด้วยกระดูก 3 ส่วน โดยกระดูกแต่ละส่วนจะมีกระดูกอ่อนหุ้มไว้ เรียกว่า “กระดูกอ่อนผิวข้อ” ทำหน้าที่ในการลดการเสียดสีขณะเคลื่อนไหวและรองรับแรงกระแทกภายในข้อเข่า โดยสาเหตุที่ทำให้กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบนั้น อาจเกิดได้จาก..กระดูกสะบ้าเอียงมากกว่าปกติเวลางอเข่า โดยมักพบในคนที่มีเท้าแบน หรือการใช้งานมากเกินไป เช่น การออกกำลังกายที่มากเกินไป การขึ้น-ลงบันไดวันละหลายๆ รอบ
ลักษณะของอาการ คือ จะปวดเข่าเวลาที่งอเข่า เช่น นั่งพับเพียบ ลุกเปลี่ยนท่า หรือเดินขึ้น-ลงบันได โดยจะปวดมากบริเวณด้านหน้าเข่า หากเกิดอักเสบมากๆ จะทำให้ข้อเข่าบวมได้ และเวลางอหรือเหยียดเข่ามักจะเกิดเสียงดังที่มาจากการสะดุดของกระดูกอ่อนสะบ้าเข่า
“เอ็นไขว้หน้าข้อเข่าขาด” อีกอาการบาดเจ็บที่พบได้บ่อย
นอกจากอาการปวดเข่าจาก 3 สาเหตุข้างต้นแล้ว ในกีฬาฟุตบอล..ที่นักกีฬาต้องมีการวิ่งซิกแซกหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามตลอดทั้งการแข่งขัน การวิ่งลงน้ำหนักและหมุนข้อเข่าขณะที่เข่ายังเหยียดตรงอยู่ ส่งผลให้เส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าถูกกระชากและฉีกขาดได้ รวมไปถึงการปะทะระหว่างแข่งขัน เช่น การบิดของเข่าอย่างรวดเร็วและรุนแรง การกระโดดหรือรีบยกเท้า ทำให้เอ็นไขว้หน้าถูกกระชากจนฉีกขาดได้
ปวดเข่าแบบไหน…เข้าข่าย “เอ็นไขว้หน้าขาด”
ในช่วงแรกของการบาดเจ็บ ผู้ป่วยจะไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้หรือลงได้ไม่เต็มที่ และหลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการปวดเข่า เข่าบวม จะค่อยๆ ลดลง แต่จะมีอาการเวลาที่มีการบิดหมุนหัวเข่า เช่น การขึ้น-ลงบันได วิ่ง หรือเล่นกีฬา
ปล่อยให้บาดเจ็บเรื้อรัง..ระวัง! “ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย”
ผู้ที่ยังไม่ใช่วัยสูงอายุ..ก็สามารถเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้ ซึ่งปัจจัยหลักๆ มาจาก..แรงที่กระทำกับข้อเยอะๆ และเป็นเวลานาน เช่น กลุ่มนักวิ่งมาราธอน โดยพบว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นข้อเข่าเสื่อมในอนาคตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า และอีกปัจจัยหนึ่งคือ..เคยมีอุบัติเหตุมาก่อน เช่น ผิวกระดูกบาดเจ็บ มักพบในนักฟุตบอลที่มีประวัติเอ็นฉีกขาด ซึ่งการปล่อยให้ผิวกระดูกอักเสบเรื้อรัง..ก็เท่ากับกระดูกถูกบดเสียดสีกันมากขึ้น จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการเกิดข้อเข่าเสื่อมในอนาคตมากขึ้นได้
“เอ็นไขว้หน้าขาด” จำเป็นต้องรักษาด้วยการ “ผ่าตัด” หรือไม่?
เพราะเอ็นไขว้หน้าเข่าจะมีแรงดึงในตัวเอ็น เมื่อเกิดฉีกขาด..ทำให้ปลายของเอ็นมีการหดตัวห่างจากกันไปเรื่อยๆ แม้ว่าผู้ป่วยที่เอ็นไขว้หน้าขาดจะรักษาด้วยการกายภาพได้ แต่หากคุณมีความต้องการที่จะกลับไปเล่นกีฬาที่ใช้หัวเข่าหนักๆ เช่น ฟุตบอล การผ่าตัดซ่อมแซมเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าก็ถือว่ามีความจำเป็น ทั้งนี้ทั้งนั้น..อาจต้องพิจารณาร่วมกับการวินิจฉัยจากแพทย์
หลังผ่าตัดข้อเข่า..จะกลับมาเล่นกีฬาได้เหมือนเดิมไหม
ปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องซ่อมแซมเอ็นไขว้หน้าข้อเข่า โดยใช้เส้นเอ็นจากตำแหน่งอื่นมาทำเอ็นไขว้หน้าใหม่ ช่วยให้ข้อเข่าของผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วกว่า ร่วมกับการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บ แม้จะใช้เวลาในการซ่อมแซม…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ป่วยจะยังสามารถกลับมาเล่นกีฬาได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
การรักษาด้านเวชศาสตร์การกีฬา..ไม่ได้จบลงแค่ที่การผ่าตัด แต่คนไข้ยังต้องได้รับการฟื้นฟูร่างกายในด้านอื่นๆ เช่น การกายภาพบำบัด หรือโภชนาการ ดังนั้น นอกจากตัวผู้ป่วยแล้ว ทีมแพทย์และผู้ความเชี่ยวชาญก็มีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว..พร้อมกลับมาสนุกกับการใช้ชีวิตได้เหมือนก่อนบาดเจ็บอีกครั้ง