สำหรับโครงสร้าง อย่าง “กระดูก” แพทย์คือผู้ที่ทำหน้าที่รักษา แต่ในส่วนของโครงสร้าง อย่าง “เนื้อเยื่ออ่อน” ซึ่งจะมี เอ็นข้อต่อ (ligament) เอ็นข้อต่อกับกล้ามเนื้อ (tendon) และกล้ามเนื้อ (muscle) นั้น ต้องอาศัยการรักษาทางกายภาพบำบัด เพื่อเข้าไปลดการอักเสบและเพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมสร้างความมั่นคงในการเคลื่อนไหวท่าทางต่างๆ หรือเรียกได้ว่าหน้าที่ของการกายภาพบำบัด คือ ผลักดันศักยภาพของคนไข้…ให้พร้อมกับการฝึกซ้อมและพัฒนาต่อไปจนถึงเป้าหมายที่คนไข้ต้องการ
การประเมินการกายภาพบำบัด..เพื่อฟื้นฟูการบาดเจ็บ
เริ่มต้นจาก การซักประวัติ เพื่อดูระยะของการอักเสบ โดยแบ่งเป็นสองระยะ คือ “ระยะเฉียบพลัน” จะมีลักษณะอาการปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของคนไข้และความรุนแรง และ “ระยะเรื้อรัง”
จากนั้นจะ ตรวจด้านกายภาพ เช่น ปวดไหล่ ก็จะลองขยับไหล่เพื่อดูว่าขยับทิศทางไหนแล้วปวด ตรวจดูกำลังกล้ามเนื้อ สภาพของข้อต่อ เพื่อตรวจหาว่าจุดเจ็บจริงๆ คือโครงสร้างไหน แล้วมาดูกันต่อที่กลไก เช่น เมื่อจะปาลูกบอล..จุดไหนที่ปวด เพราะการบาดเจ็บจากกีฬาเกิดขึ้นได้หลายอย่าง เช่น อาจเกิดจากข้อต่ออย่างเดียว การกระชากเมื่อใช้กล้ามเนื้อรุนแรง หรือเกิดจากการกระแทก ซึ่งการตรวจดูกลไกก็เพื่อให้รักษาได้อย่างตรงจุด ให้คนไข้กลับมาใช้งานร่างกายได้ดีเหมือนเดิม หรือดีขึ้นกว่าเดิม
อุปกรณ์หลักๆ ในการกายภาพบำบัด
ลำดับแรก คือ การกระตุ้นการซ่อมแซมและลดอาการปวดให้เร็วขึ้น…แต่จะยังไม่เพิ่มการใช้กำลัง โดยเครื่องมือ 3 ชนิดหลักๆ เช่น อัลตร้าซาวนด์, เลเซอร์(เหมาะกับคนไข้ระยะเฉียบพลัน) และ Shock wave (เหมาะกับคนไข้ที่เป็นมาระยะหนึ่งแล้ว หรือเป็นในจุดที่เหมาะกับเครื่องมือนี้)
นอกจากเครื่องมือสำหรับลดปวดแล้ว เครื่องมือกายภาพอื่นๆ จะมีจักรยาน เวท ยางยืด คล้ายกับยิมขนาดย่อม เพราะการกายภาพในเชิงสปอร์ตจะแตกต่างจากกายภาพคนไข้ทั่วๆ ไป ที่มีการฝึกวิ่ง ฝึกกระโดด เพื่อให้ใกล้เคียงกับกิจกรรมที่คนไข้ทำอยู่
อาการบาดเจ็บแบบไหน…ที่ควรมาพบแพทย์
การประเมินตนเองเบื้องต้น ให้ดูว่ามีอาการปวด บวม แดง ร้อน แค่ไหน ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ประคบเย็น ยกสูงในส่วนที่เป็นส่วนปลาย หรืออาจพันผ้าเพื่อลดบวม ถ้าผ่านไป 24-48 ชั่วโมงแล้วไม่ดีขึ้น ก็ควรมาพบแพทย์
เจ็บ..แต่ทนฝืน สาเหตุหลักการบาดเจ็บซ้ำ!
เรามักได้ยินว่า “เป็นแล้วจะเป็นอีกเรื่อยๆ” นั่นเป็นเพราะหลายคนปล่อยไว้ เจ็บแต่ทน เดินทั้งที่รู้สึกเจ็บ..จนมันหายดี ซึ่งการใช้กล้ามเนื้อที่ยังบาดเจ็บอยู่จะทำให้เกิดฉีกขาดซ้ำ และเมื่ออักเสบซ้ำบ่อยๆ จะนำไปสู่การซ่อมแซมของเส้นใยกล้ามเนื้อที่ไม่ดี หรือเส้นใยมีการจัดเรียงที่ไม่ดีกลายเป็น “พังผืด” และมักนำไปสู่การเกิดการฉีกขาดซ้ำ..ที่เดิมๆ จุดเดิมๆ ยกเว้นคนๆ นั้นเปลี่ยนประเภทกีฬาที่เล่น
“วอร์มอัพ” เทคนิคสำคัญ…ป้องกันการบาดเจ็บ
แต่ก่อนการวอร์มอัพจะแค่ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว..กล้ามเนื้อเราต้องการเลือดไปไหลเวียน ปัจจุบันมีเทคนิคการวอร์มอัพแบบ Dynamic Stretching คือการงอเหยียดขาอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 5-10 นาที หรือจนรู้สึกว่าตัวเราเริ่มคล่องขึ้น เคลื่อนไหวเบาขึ้น ไม่ฝืด ไม่ตึง
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ “อัตราการเต้นของหัวใจ” เมื่อวอร์มอัพไประยะหนึ่งแล้วให้สังเกตดูว่าหัวใจเต้นขึ้นมา 10-20 ครั้งต่อนาทีหรือยัง? เพราะอัตราการเต้นของหัวใจประมาณนี้แสดงกล้ามเนื้ออุ่นขึ้นแล้ว เพราะการไหลเวียนเลือดในกล้ามเนื้อจะเป็นการนำพาพลังงานไปสู่กล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้น ถ้ากล้ามเนื้อไม่มีเลือดหรือมีน้อยจะทำเกิดอาการล้าและการบาดเจ็บได้
การฝืน..ทั้งที่ยังบาดเจ็บ ส่งผลให้ความเสียหายของโครงสร้างเยอะขึ้นจนฟื้นตัวยาก ในขณะที่การได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่แรกจะทำให้การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ หรือการจัดเรียงของเส้นใยกล้ามเนื้อเป็นระเบียบ โอกาสบาดเจ็บซ้ำเกิดได้ยาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า..ทำไม “การกายภาพฟื้นฟูการบาดเจ็บ” ถึงสำคัญ!!