เด็กบางรายอาจมีอาการมึนศีรษะ ตาลาย เห็นเป็นจุดดำหรือมืดแล้วล้มฟุบลงไป ในเด็กบางรายอาจจะมีอาการนำก่อน เช่น หูอื้อ คลื่นไส้ เหงื่อแตก ร้อนๆหนาวๆ อาจจะรู้สึกว่ามีใจสั่นหรือหัวใจเต้นช้า หน้าซีด หลังจากนั้นเด็กก็จะไม่รู้สึกตัวและล้มลง ซึ่งอาการเป็นลมในเด็กประมาณ 80% เป็นแบบไม่อันตรายและไม่รุนแรง แต่จะมีอีกประมาณ 10-20% ที่มีสาเหตุที่อันตราย เพื่อเป็นการป้องกันภาวะฉุกเฉิน..ผู้ปกครองจึงควรรู้วิธีการสังเกตความผิดปกติจากอาการเหล่านี้
ชนิดของการเป็นลม แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มเป็นลมหมดสติที่ไม่รุนแรง(common fainting) โดยเกิดจากการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และเส้นเลือดที่ขา ทำงานไม่สมดุลกันหรือผิดปกติ ที่เรียกว่า Vasovagal syncope หรือ Neuro-cardiogenic syncope หรือ common fainting
ลักษณะของอาการ คือ เป็นลมหมดสติ แขนขาไม่มีแรง ล้มลง โดยเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง เส้นเลือดดำที่ขาขยายตัว..เลือดที่จะกลับจากขามาที่หัวใจจึงน้อยลง ร่วมกับหัวใจเต้นช้าลง ทำให้การสูบฉีดโลหิตไปสมองลดลง ไม่เพียงพอ มีผลให้สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะจึงเป็นลม
แต่หลังจากการเต้นของหัวใจกลับมาปกติและเส้นเลือดดำที่ขาขยายตัวกลับมาทำงานปกติ สมองก็จะได้รับเลือดและออกซิเจนตามปกติ…เด็กก็จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยที่ไม่มีอาการชักหรืออาการผิดปกติตามมา ซึ่งการเป็นลมชนิดนี้ อาจพบได้ในกรณีที่ต้องยืนเป็นเวลานาน ยืนอยู่กลางแดด มีอาการตื่นเต้น เห็นเลือดแล้วกลัว ปวดท้องมาก เจ็บปวดมาก หรือมีคนทำให้ตกใจ เป็นต้น
- กลุ่มเป็นลมหมดสติที่รุนแรงและเป็นอันตราย จะมีอาการรุนแรงกว่า โดยมากเกิดจากโรคหัวใจ ความผิดปกติของสมอง หรือจากต่อมไร้ท่อ เป็นต้น เด็กที่เกิดจากความผิดปกติของโรคดังกล่าว การฟื้นตัวจะช้าและมีอาการแสดงหลงเหลือต่อ เช่น ชัก ความรู้สติเสียไป หรือ อ่อนแรงของแขนขา รวมทั้งอาจเสียชีวิต เป็นต้น
สาเหตุการเป็นลมหมดสติที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายที่พบบ่อย ได้แก่
- โรคหัวใจ
- หัวใจทำงานผิดปกติจากกระแสไฟฟ้าที่หัวใจทำงานผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นพริ้ว (ventricular fibrillation) หรือหัวใจเต้นเร็วมาผิดปกติ (supraventricualar tachycardia) หรือหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ เป็นต้น ทำให้เป็นลมหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เช่น มีลิ้นหัวใจตีบ พอออกกำลังกายมากๆ จะทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เป็นลม ชัก หรือเสียชีวิตได้
- เด็กที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ (Hypertrophic cardiomyopathy) เวลาออกกำลังกาย จะทำให้หัวใจปั๊มเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสมอง..ทำให้สมองขาดออกซิเจน เป็นลมหมดสติ และบางราย ชัก หรือ เสียชีวิตได้
- เด็กที่โรคกล้ามเนื้อหัวใจบางผิดปกติ (Congestive cardiomyopathy) เมื่อออกกำลังกาย หัวใจจะบีบตัวได้ไม่แรงพอ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ และเป็นลมได้ หรืออาจเสียชีวิตได้
- โรคสมองเช่น เป็นลมบ้าหมู มีความผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง หรือมีก้อนเนื้อผิดปกติในสมอง เป็นต้น พวกนี้มักมีอาการชักร่วมด้วย และมีอาการแสดงหลังการเป็นลม
- โรคทางต่อมไร้ท่อ ที่พบบ่อยคือ น้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นต้น
เมื่อไรที่ควรพาเด็กมาพบแพทย์
เมื่อไรก็ตามที่เด็กเป็นลมหมดสติควรพามาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าอาการเป็นลมนั้นเกิดจากสาเหตุใด มีอันตรายหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วผู้ปกครองมักจะคิดว่าเด็กเป็นลมแดด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้โดยทั่วไปถึง 80% แต่อีก 10-20% อาจจะแฝงด้วยโรคอื่นที่มีอาการรุนแรงมากกว่านั้น ทางที่ดีควรพาเด็กมาตรวจเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุ เพื่อการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ตลอดจนการป้องกันการเกิดซ้ำและเป็นอันตรายได้
วิธีปฐมพยาบาลเด็กเป็นลมหมดสติ
- ให้เด็กนอนตะแคง และนอนบนพื้นราบ
- อย่าล้วงคอ หรือนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปากเด็ก เพื่อป้องกันการสำลัก และอุดกั้นทางเดินหายใจ
- คลายเสื้อผ้าหรือสิ่งที่รัดร่างกายออกเพื่อให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น
- ตรวจดูการหายใจ และ ชีพจรของเด็ก
- เรียกให้เด็กรู้สึกตัว
- พามาพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คอาการ และหาสาเหตุต่อไป
นพ. วัชระ จามจุรีรักษ์
กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านหัวใจ
ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 2