เป็นเด็กก็เครียดได้! ทำความรู้จักกับ PTSD โรคทางใจ..หลังประสบภัยรุนแรงในชีวิต

พญาไท 2

1 นาที

ศ. 27/03/2020

แชร์


Loading...
เป็นเด็กก็เครียดได้! ทำความรู้จักกับ PTSD โรคทางใจ..หลังประสบภัยรุนแรงในชีวิต

รู้จักและเข้าใจโรค PTSD

PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) หรือ ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ เป็นภาวะความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังพบเหตุการณ์ความรุนแรง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือเกิดขึ้นกับผู้ที่ประสบพบเหตุร้ายด้วยตัวเอง หรือเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์และเห็นเหตุการณ์สะเทือนใจนั้นโดยตรง หรือเป็นญาติใกล้ชิดกับผู้ประสบเหตุและได้รับรู้รายละเอียดข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเกิดความเครียดและมีพฤติกรรมบางอย่างที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตตามมา ซึ่งผู้ที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากเหตุเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษา

เมื่อเด็กเป็นโรค PTSD

พญ.ชนนิภา บุตรวงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น อธิบายว่า ความแตกต่างของโรค PTSD ในเด็กและผู้ใหญ่ คือปัญหาเรื่องการสื่อสารและการแสดงออก เมื่ออาการนี้เกิดขึ้นในผู้ใหญ่จะมีการแสดงอาการที่ตรงไปตรงมา สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมอย่างชัดเจน และยังสามารถอธิบายอาการได้ว่าเขามีความคิดอย่างไร เห็นภาพอะไร หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่

แต่เมื่อโรค PTSD เกิดขึ้นในเด็ก แม้จะมีการแสดงออกทางกายที่เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่การสื่อสารและการอธิบายอาการที่เป็นอยู่จะค่อนข้างยากสำหรับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่มีความเข้าใจต่อโรค ไม่เข้าใจสภาวะของตัวเอง และไม่รู้จะสื่อสารอาการของตัวเองออกไปอย่างไร ดังนั้นผู้ปกครองอาจวินิจฉัยโรคได้จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งมักพบว่าเด็กจะเสียทักษะทางพัฒนาการบางอย่างที่เคยทำได้และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง

รู้จักกับอาการของผู้ป่วย PTSD

ผู้ที่ประสบเหตุรุนแรงจนได้รับความสะเทือนใจ จะมีอาการออกมา 2 ระยะ

  • ระยะที่ 1 เกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังเหตุการณ์ เรียกว่า Acute Stress Disorder (ASD) หรือ โรคเครียดฉับพลัน ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะ ASD สามารถหายเองได้ หรือไม่เป็นอะไรเลยในเดือนแรก แต่หลังเกิดเหตุการณ์มาแล้ว 1 เดือนอาการนี้ยังไม่หายไปจะเรียกว่า PTSD
  • ระยะที่ 2 คือหลังเกิดเหตุการณ์มาแล้ว 1 เดือน ที่เรียกว่า PTSD อาจแสดงอาการออกมาได้ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ
    • เหตุการณ์นั้นตามมาหลอกมาหลอน (re-experiencing)

ผู้ที่รอดตายจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว หนีจากสงคราม หนีจากคนที่ตามมาทำร้าย จะยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีก รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเองและตกใจกลัวหรือหลับตาทีไรก็ยังเห็นภาพนั้น

    • อาการตื่นตัวมากเกินไป (hyperarousal)

สำหรับผู้ป่วยโรคนี้ แม้ว่าเหตุการณ์น่ากลัวจะผ่านไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังไม่ยอมเลิกตื่นตัว ทำให้เรายังรู้สึกกระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง ใจสั่น ตกใจง่าย สะดุ้งง่าย ไม่มีสมาธิ เครียดง่ายกับเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อมีอะไรมาสะกิดให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น

    • คอยหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์ (avoidance) หรือมีอารมณ์เฉยชา (emotional numbing)

หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูด หรือนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หวาดกลัว เช่น ประสบภัยพิบัติมาจึงไม่กล้าดูข่าวนี้ในโทรทัศน์ หรือไม่กล้าไปในสถานที่ประสบเหตุ เพราะเมื่อเห็นแล้วจะรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอีก

ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น PTSD ยังอาจมีอาการอื่นได้อีก เช่น ซึมเศร้า โทษตัวเองว่ามีส่วนทำให้เกิดเหตุร้าย หรือรู้สึกผิดที่หนีเอาตัวรอด (survivor guilt) วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ ดื่มเหล้าเบียร์มากกว่าเดิมเพื่อดับความกระวนกระวายใจ หงุดหงิดง่าย ทำร้ายตัวเองหรือพยายามฆ่าตัวตาย

ทำอย่างไร…ให้หายจากโรค PTSD

  • การบำบัดทางจิตใจ

เด็กที่ป่วยมักจะมีอาการหลีกเลี่ยงเพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกเจ็บ ปวดและไม่สบายใจที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ดูเหมือนเด็กไม่มีอาการจึงไม่มารับการบำบัด การรักษาทำได้ด้วยการให้ความรู้สุขภาพจิต การผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ ให้เด็กได้เผชิญกับสิ่งที่กลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยที่เด็กได้รับการฝึกวิธีสร้างความมั่นคงทางจิตใจด้วย แล้วปรับเปลี่ยนความคิดที่ทำให้เกิดความกังวล และฝึกการจัดการกับอารมณ์ ซึ่งในผู้ป่วยเด็กอาจจะใช้วิธีวาดภาพระบายสี หรือใช้งานศิลปะเป็นสื่อใช้แสดงความรู้สึกต่างๆ ออกมา และเด็กสามารถเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ให้ฟังได้หากเด็กต้องการเล่าเอง โดยไม่พยายามกระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องซ้ำๆ หากเด็กยังไม่รู้สึกปลอดภัยเพียงพอ

ขณะเดียวกันจะมีการจัดชั่วโมงให้ผู้ปกครองเข้าร่วมด้วย เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กหายจากอาการ PTSD หากพ่อแม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ก็จะช่วยเด็กในเรื่อง การปรับตัว ทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความเครียด และเป็นที่ปรึกษาในสถานการณ์ที่เด็กอาจกังวลและต้องการความช่วยเหลือ

  • การรักษาด้วยยา

นอกเหนือจากการรักษาด้วยการบำบัดทางจิตใจแล้ว จิตแพทย์อาจให้ยาในกลุ่มยาแก้ซึมเศร้าร่วมด้วย โดยยากลุ่มนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มออกฤทธิ์ และต้องรับประทานยาต่อเนื่องควบคู่กับการทำจิตบำบัดไปด้วย

พญ. ชนม์นิภา แก้วพูลศรี
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น
ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 2

แชร์

Loading...
Loading...
Loading...