น้ำมูกไหล ผื่นคัน โรคภูมิแพ้สุดฮิตในเด็ก

น้ำมูกไหล ผื่นคัน โรคภูมิแพ้สุดฮิตในเด็ก

หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคุณหมอพูดถึง “โรคภูมิแพ้” และรู้มาด้วยว่า อาการน้ำมูกไหลเรื้อรัง ไอเรื้อรัง ผื่นเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรังก็เป็นหนึ่งในอาการของโรคภูมิแพ้ แต่จริงๆ แล้วโรคภูมิแพ้มีรายละเอียดมากมายที่เราคงยังไม่รู้ หากสงสัยว่า โรคภูมิแพ้คืออะไร หรือทำไมถึงเป็นโรคภูมิแพ้ และเหตุใดอาการของโรคถึงมีหลากหลายรูปแบบ วันนี้ เรามีคำตอบ…

โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาที่ผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่เยื่อบุของอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกาย เช่น ผิวหนัง เยื่อบุโพรงจมูก เยื่อบุตาขาว เยื่อบุทางเดินหายใจ หรือเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีอาการบริเวณอวัยวะที่เกิดการอักเสบจากการกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ที่แตกต่างกันไป

อาการแบบไหน โรคภูมิแพ้อะไร

  • อาการที่ผิวหนัง คือ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีอาการผื่นคันเรื้อรัง บริเวณใบหน้า ข้อพับแขนขาหรือลำตัว เป็นต้น
  • อาการที่เยื่อบุจมูก คือ โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกเรื้อรัง ร่วมกับอาการจาม คันหรือคัดจมูก
  • อาการที่เยื่อบุตาขาว คือ โรคเยื่อบุตาขาวอักเสบภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการคัน หรือเคืองตาเรื้อรัง แสบตาหรือน้ำตาไหลบ่อยๆ
  • อาการเยื่อบุทางเดินหายใจ คือ โรคหืด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หอบหายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก หรือหายใจได้ยินเสียงวี้ด
  • อาการเยื่อบุทางเดินอาหาร คือ โรคแพ้อาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง อาเจียน น้ำหนักตัวลด ร่วมกับอาการผื่นเรื้อรังและภาวะซีด

ประเภทของสารก่อภูมิแพ้

สารก่อภูมิแพ้มี 2 ประเภท ได้แก่

  1. สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสุนัข ขนแมว เกสรดอกหญ้า หรือเชื้อรา ซึ่งพบว่า ไรฝุ่น เป็นสารก่อภูมิแพ้ในอากาศที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งพบบ่อยในบริเวณที่นอน ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้านวมหรือพรมภายในห้องนอน ตัวไรฝุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
  2. สารก่อภูมิแพ้ประเภทอาหาร เช่น นมวัว นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง ไข่ อาหารทะเล หรือแป้งสาลี


ภาพขยายแสดงตัวไรฝุ่น

ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้

ปัจจุบันไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคภูมิแพ้ แต่พบว่าอาจมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคดังกล่าว ได้แก่

1. ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม พบว่าเด็กที่มีคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 20-40 กรณีที่มีคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-80 อย่างไรก็ตามพบเด็กร้อยละ 15 เป็นโรคภูมิแพ้ โดยไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในคุณพ่อและคุณแม่

2. ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม

  • ชีวิตในเมืองที่เปลี่ยนไป การย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเมือง อยู่ในบ้านที่ปิดทึบ ใช้เครื่องปรับอากาศ ปูพรม มีเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่สะสมฝุ่น
  • มลพิษในอากาศ ซึ่งเกิดจากมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
  • บุหรี่ ในควันบุหรี่ประกอบด้วยสารพิษหลายชนิด ซึ่งมีทั้งสารก่อมะเร็ง และสารก่อความระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ เด็กที่มีผู้ปกครองสูบบุหรี่ในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมารดาเป็นผู้สูบจะมีโอกาสเป็นโรคหืดมากกว่าเด็กปกติถึง 2 เท่า

3. ปัจจัยทางด้านโภชนาการ

  • นมแม่ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่อย่างเดียวจะมีโอกาสเป็นโรคหืด รวมถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ น้อยกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมผสม
  • อาหาร อาหารที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การแช่แข็ง การปรุงแต่งสี กลิ่น รส รวมถึงการบริโภคอาหารจำพวกแป้ง ไขมันมากกว่าที่จะบริโภคพืช ผัก ผลไม้

ทราบได้อย่างไร…ว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้อะไรบ้าง

เมื่อมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นภูมิแพ้ เราสามารถทดสอบด้วยเครื่องมือและน้ำยาทดสอบ เพื่อให้ทราบว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด จะได้ทำการรักษาและระมัดระวังไม่ให้สัมผัสหรือกินสิ่งที่จะก่อให้เกิดภูมิแพ้ โดยการทดสอบ สามารถทำได้ 2 วิธีคือ

  1. การทดสอบทางผิวหนัง การทดสอบผิวหนังให้ผลการตรวจที่แม่นยำกว่าการตรวจเลือด แต่เด็กๆ มักกลัวการทดสอบหรือไม่ให้ความร่วมมือระหว่างการทดสอบ ซึ่งอาจจะทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อนได้ ในกรณีนี้อาจจำเป็นต้องใช้การทดสอบด้วยการตรวจเลือด
  2. การทดสอบด้วยตรวจเลือด การตรวจเลือด นอกจากจะเหมาะกับกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือในการทดสอบทางผิวหนังแล้ว การตรวจเลือดยังมีประโยชน์ในกรณี ดังนี้
    • เด็กหรือผู้ที่มีอาการของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังชนิดรุนแรงจนไม่สามารถหยุดรับประทานยาแก้แพ้ได้ ซึ่งโดยทั่วไปผู้จะเข้าสอบจำเป็นต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ก่อนทำการทดสอบผิวหนัง
    • เด็กหรือผู้ที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่ไม่มีผิวหนังปกติมากพอสำหรับการทดสอบผิวหนัง

อุปกรณ์การทดสอบผิวหนัง

  • น้ำยาทดสอบผิวหนัง

(ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะทำการทดสอบ)

 

  • ถาดใส่น้ำยาทดสอบผิวหนัง
  • อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบผิวหนัง ทำจากพลาสติกปลายแหลมมีด้วยกัน 8 ขา มีความสะดวกเพราะสามารถตรวจสารก่อภูมิแพ้ได้ครั้งละ 8 ชนิด

วิธีการทดสอบผิวหนัง

  1. นำอุปกรณ์ที่เป็นพลาสติกปลายแหลมจุ่มลงในถาดน้ำยาสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งได้มีการระบุชนิดของน้ำยาตามตำแหน่งในถาดบรรจุน้ำยา
  2. ทำความสะอาดผิวหนังในบริเวณที่จะทำการทดสอบ เช่น บริเวณท้องแขนทั้ง 2 ข้างหรือบริเวณแผ่นหลัง เป็นต้น
  3. นำอุปกรณ์ที่ได้จุ่มน้ำยาทดสอบสารก่อภูมิแพ้แล้ววางกดลงบนผิวหนังของผู้ป่วยในตำแหน่งที่ทำความสะอาดไว้ ออกแรงกดอุปกรณ์บนผิวหนังของผู้ป่วยให้พอตึงๆ มือ
  4. ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในตำแหน่งที่ทำการทดสอบแต่จะไม่มีเลือดออก เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์ในการทดสอบเป็นพลาสติก
  5. รอให้น้ำยาซึมผ่านผิวหนัง เป็นเวลาประมาณ 2 นาที จึงใช้กระดาษซับน้ำยาออก ระหว่างนี้ผู้ป่วยจะต้องอยู่นิ่งๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเทมารวมกันของน้ำยาในตำแหน่งต่าง ๆ
  6. รออ่านผลใน 10-15 นาที ระหว่างนี้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ เพียงแต่ระวังไม่ให้เกาในตำแหน่งที่ได้ทำการทดสอบผิวหนังไว้ เมื่อครบกำหนดเวลา แพทย์จะอ่านผล วินิจฉัย และทำการรักษาต่อไป
  7. กรณีที่ผู้ป่วยมีปฏิกิริยาต่อน้ำยาทดสอบ ผู้ป่วยจะเกิดอาการบวม แดง และคันที่ผิวหนังในตำแหน่งที่ของสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ ทำให้ทราบได้ว่าผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด ทั้งนี้อาการบวม แดง และคันในขณะทดสอบจะหายได้เองในเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง โดยจะไม่เกิดรอยแผลเป็นใดๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการมากอาจกินยาแก้แพ้ได้

โรคภูมิแพ้หลีกเลี่ยงหรือรักษาได้อย่างไร

  1. หลีกเลี่ยงไม่สัมผัส สูดดม หรือกินอาการที่มีสารก่อภูมิแพ้ กรณีที่ไม่ทราบชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบภูมิแพ้
  2. ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 

โรคภูมิแพ้ ส่วนใหญ่รักษาไม่หายขาด โดยอาจจะมีอาการกลับเป็นซ้ำได้บ่อยหากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อย่างไรก็ตามหากสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถดำเนินชีวิตหรือเรียนหนังสือได้ตามปกติ


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...