ช่องคลอด คือ อวัยวะสำคัญที่ผู้หญิงควรใส่ใจและดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะความผิดปกติเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้น อาจทำให้ผู้หญิงเราสูญเสียความมั่นใจหรืออาจทำให้เกิดโรคตามมาได้ โดย พญ.ธาริณี ลำลึก สูตินารีแพทย์ ประจำศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2 มีคำแนะนำดีๆ ให้ผู้หญิงทุกคนได้รู้จัก วิธีสังเกตความผิดปกติของช่องคลอด และรู้วิธีดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลโรค
สัญญาณเตือน..จาก “ตกขาว”
โดยปกติฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะผลิตตกขาวอยู่แล้ว โดยแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ ตกขาวปกติและตกขาวที่เป็นโรค ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของช่องคลอดอักเสบ เชื้อรา หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ตกขาวปกติ : จะมีสีใสๆ หรือสีขาว ซึ่งจะมีในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน และมีในปริมาณที่ไม่มาก
- ตกขาวที่เป็นโรค : จะมีสีเขียว สีเหลือง เป็นฟอง ปนเลือด และมีปริมาณมากขึ้น มีกลิ่นคาว กลิ่นเค็ม กลิ่นเปรี้ยว หรือกลิ่นอับ มีลักษณะจับกันเป็นก้อน ข้น เป็นเมือกคล้ายๆ หนอง และมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ปวดท้องน้อย มีไข้
สัญญาณเตือน..จาก “อาการคัน”
อาการคันบริเวณช่องคลอดแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ คันภายในช่องคลอด และภายนอกช่องคลอด
- อาการคันภายใน : ต้องสังเกตว่ามีตกขาวร่วมด้วยไหม หรือคันหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า และมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ด้านในไหม
- อาการคันภายนอก : ต้องสังเกตว่ามีผื่นคันอยู่ภายนอกไหม อาจเกิดจากความอับชื้น อาการเชื้อราที่ขาหนีบ หรือเป็นผลมาจากการเปลี่ยนของใช้ เปลี่ยนน้ำยาซักผ้า น้ำยาหรือสบู่ซักกางเกงใน ซึ่งสามารถทำให้แพ้ได้
สัญญาณเตือน..จาก “รอยแผลหรือรอยโรคบริเวณช่องคลอด”
การตรวจรอยแผลและรอยโรคบริเวณช่องคลอด แพทย์จะต้องตรวจดูว่าเจ็บหรือเปล่า มีแผลเดียวหรือมีหลายแผล มีลักษณะอย่างไร นูนขึ้นมาแล้วเป็นขุย หรือนูนอย่างเดียว ซึ่งเราสามารถสังเกตตัวเองได้ด้วยการใช้กระจกส่อง โดยหากเป็นรอยโรค แพทย์จะต้องทราบประวัติว่าเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือไม่ มีประวัติการกระแทก การเสียดสีหรือเปล่า
สัญญาณเตือน..จาก “เลือดออกผิดปกติ” ทางช่องคลอด
ต้องสังเกตตัวเองว่าเลือดออกทางช่องคลอดมากแค่ไหน และลักษณะการออกของเลือดยาวนานต่อเนื่องไหม หรือออกกะปริบกะปรอย สังเกตว่าสีของเลือดเป็นอย่างไร สีแดงสด แดงจาง หรือสีน้ำตาล และสัมพันธ์กับประจำเดือนไหม เช่น บางทีมีกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน ซึ่งอาจจะต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย
การสังเกต.. เลือดออกผิดปกติ vs เลือดประจำเดือน
เลือดประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอ บางคนจะมาเป็นช่วงๆ มีระยะเวลาตั้งแต่ครึ่งวันถึงนานที่สุดประมาณ 8 วัน เมื่อมาแล้วจะหยุดไป แล้วจะเว้นช่วงรอบเดือนไปอีก 21-45 วัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน หรือในกรณีที่หมดประจำเดือนไปแล้ว ให้ระวังและต้องรีบมาตรวจ เพราะว่าเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ปากมดลูกอักเสบ หรือการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติได้ รวมถึงการมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจจะเป็นอาการของปากมดลูกอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ หรือเป็นมะเร็งก็เป็นได้ เช่นกัน
สัญญาณเตือน..จาก “ช่องคลอดมีกลิ่น”
เราจะต้องรู้จักสังเกตตัวเองว่า ช่องคลอดของเรามีกลิ่นแบบไหน โดยหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 3 กลิ่นที่พบได้บ่อยคือ กลิ่นคาว เหม็นเปรี้ยว กลิ่นอับ โดย ‘กลิ่น’ มักจะเกิดจากการที่ช่องคลอดเสียสมดุล เพราะมีการสวนล้างช่องคลอดมากเกินไป หรือเกิดจากการมีตกขาว มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ข้างใน และอาจเกิดจากมะเร็งก็เป็นได้
วิธีการดูแลช่องคลอดด้วยตัวเอง
- ใช้น้ำเปล่าล้างทำความสะอาดทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ
- ล้างเฉพาะภายนอกเท่านั้น ไม่ควรสวนล้างเข้าไปข้างใน และควรล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง
- หลังจากล้างน้ำแล้ว ควรซับให้แห้ง ซับจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่ควรวกกลับมาด้านหน้าอีก
- ไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดการอับชื้น เช่น ใส่กางเกงในที่ตัวเล็กมากหรือผ้าหนา และไม่ควรใส่หลายชั้น เช่น ใส่กางเกงในแล้วทับด้วยกางเกงกระชับสัดส่วน ถุงน่อง กางเกงกันโป๊ เพราะความอบอ้าวจะทำให้เกิดตกขาว ควรใส่ชั้นในที่สบายตัวและอากาศถ่ายเทสะดวก
- อย่าปล่อยให้เป้ากางเกงในเปียก พยายามซับให้แห้งทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ
- เมื่อมีประจำเดือนให้เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และล้างทำความสะอาดทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ
- การดูแลขน หากไม่จำเป็นอย่าโกนหรือแว็กซ์ขนออก เนื้องจากจะทำให้ผิวบางและแพ้น้ำยาแว็กซ์ได้ สามารถดูแลได้ง่ายขึ้นด้วยการเล็มขนเพื่อลดการอับชื้น
- ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันผู้อื่น และซักทำความสะอาดผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ
- ทำความสะอาดฝารองนั่งชักโครกทุกครั้งก่อนใช้ห้องน้ำ
- ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
นอกจากจะการดูแลเบื้องต้นแล้ว การตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้าย หรือหากพบโรคก็จะพบได้เร็วในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูงกว่า