เพราะประจำเดือนมีความสัมพันธ์กับมดลูกที่เป็นอวัยวะสืบพันธุ์สำคัญของผู้หญิง เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น..จึงมักพบสัญญาณเตือนได้จาก “ประจำเดือนผิดปกติ” ไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนมามากและนาน มีลิ่มเลือดปนเป็นก้อน อาการปวดประจำเดือนที่เพิ่มมากขึ้น หรือในบางกรณี อาจมีอาการปวดคล้ายปวดประจำเดือนทั้งที่ไม่ได้มีประจำเดือนด้วยก็ได้เหมือนกัน แล้วอาการผิดปกติเหล่านี้จะบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง จะอันตรายมากแค่ไหน เรามาทำความเข้าใจให้รู้เท่าทันโรคกันดีกว่า…
ประจำเดือนมามากแบบไหนที่เรียกว่า “ผิดปกติ”
แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนเคยได้ยินคำว่า “ประจำเดือนมามาก” ซึ่งแต่ละคนก็นิยามคำว่ามามากต่างกันออกไป แต่ในทางการแพทย์แล้ว…คำว่าประจำเดือนมามากที่บอกถึงสัญญาณผิดปกติ ก็คือ
- ประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน
- ระหว่างวันประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ ชั่วโมง ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยระหว่างนอนหลับตอนกลางคืน
- อายุเข้าสู่เลข 5 หรือใกล้เข้าวัยทอง แต่ประจำเดือนกลับมามากกว่าปกติแทนที่จะน้อยลง
ดังนั้น หากมีอาการประจำเดือนมามากผิดปกติตามเหล่านี้ รวมถึงมีอาการปวดประจำเดือน รอบเดือนมาๆ หายๆ หรือตกขาวมามาก ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
ค้นหารอยโรคจาก “ประจำเดือนมามาก” ได้ด้วยการตรวจวิธีนี้
- ตรวจภายใน
- ตรวจดูช่องคลอด ปากมดลูก ว่ามีก้อน แผล หรือติ่งเนื้อหรือไม่ ร่วมกับการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาการติดเชื้อหรือการอักเสบ ตลอดจนคลำตรวจมดลูกและรังไข่ว่ามีขนาดปกติหรือไม่ กดแล้วเจ็บไหม หรือพบก้อนผิดปกติหรือเปล่า
- อัลตราซาวนด์ หากแพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นแล้วพบความผิดปกติที่มดลูกหรือรังไข่ การอัลตราซาวนด์จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำขึ้น โดยสามารถอัลตราซาวนด์ได้ทั้งทางหน้าท้องและทางช่องคลอด
อาการปวดท้องประจำเดือน เป็นสัญญาณเตือนของโรคทางนรีเวชอะไรบ้าง?
- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่รังไข่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ โดยอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงและมักปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือนนั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่รังไข่ หรือช็อกโกแลตซีสต์อยู่ ซึ่งสาวๆ หลายคนมักมองข้าม เพราะคิดว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายทุกๆ เดือนอยู่แล้ว
- โรคเนื้องอกมดลูก ไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนมามากและนาน มีลิ่มเลือดปนเป็นก้อน อาการปวดประจำเดือนที่เพิ่มมากขึ้น หรือในบางกรณีอาจมีอาการปวดคล้ายปวดประจำเดือนทั้งที่ไม่ได้มีประจำเดือน ซึ่งก้อนเนื้องอกนี้สามารถเติบโตไปกดทับอวัยวะใกล้เคียงจนส่งผลแทรกซ้อนอื่น ๆ ต่อร่างกายได้
ทำความเข้าใจ “ช็อคโกแลตซีสต์” คืออะไรกันนะ?
‘โรคช็อคโกแลตซีสต์’ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่รังไข่’ ซึ่งโดยปกติแล้วเยื่อบุมดลูกจะบุอยู่ภายในโพรงมดลูก แต่ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญในตำแหน่งอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน หรืออวัยวะอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติตามรอบประจำเดือน เช่น ถ้าเจริญที่รังไข่ ก็จะทำให้มีถุงน้ำ ช็อกโกแลตได้ หรือถ้ามีการฝังตัวของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่กล้ามเนื้อมดลูก ก็จะทำให้เกิดเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกจาก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โดยทั่วไปโรคนี้มีรอยโรคได้หลายรูปแบบ ทั้งจุดสีน้ำตาล จุดสีแดง ถุงน้ำสีใส ที่อวัยวะในอุ้งเชิงกราน หรือถุงน้ำที่รังไข่มีของเหลวสีน้ำตาลคล้ำ ข้น คล้ายสีและลักษณะของช็อกโกแลต…จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ช็อกโกแลตซีสต์’
อาการเตือนที่มีสาเหตุมาจากโรคช็อกโกแลตซีสต์
- ปวดท้องประจำเดือน โดยมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนปวดประจำเดือนทั่ว ๆ ไป คือ อาการปวดจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกๆ เดือน เช่น เคยปวดและหายได้เองจนต้องกินยา เคยใช้ยากินแต่กลับต้องเปลี่ยนเป็นยาฉีดแก้ปวด ปวดท้องจนเป็นลม หรือมีอาการปวดนอกรอบประจำเดือน
- ปวดหรือเจ็บลึกๆ ที่ช่องคลอดหรือท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากพังผืดจากตัวโรคกับมดลูกหรือรอยโรคที่เจริญบริเวณอุ้งเชิงกรานไว้ ทำให้มดลูกไม่สามารถเคลื่อนไปมาได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะพังผืดบริเวณเอ็นยึดมดลูกทำให้เกิดอาการปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
- ภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากโรคนี้มักพบถุงน้ำบริเวณรังไข่ ทำให้ประสิทธิภาพในการตกไข่เสีย ไป หรือเกิดพังผืดบริเวณท่อนำไข่ทั้งสองข้าง ทำให้ไข่ไม่สามารถเกิดการปฏิสนธิ หรือเดินทางมาฝังตัวที่มดลูกได้
- ตรวจพบถุงน้ำที่รังไข่ โดยไม่มีอาการผิดปกติ
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์
มีการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์นั้น ได้แก่ ประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้, สตรีที่ยังไม่มีบุตร, มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อย เช่นน้อยกว่า 11 ปี ขึ้นไป, รอบประจำเดือนสั้น เช่น น้อยกว่า 27 วัน หรือมีระยะในการมีประจำเดือนยาวหรือมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษาโดยทั่วไปมี 2 วิธีหลักๆ คือ
- การใช้ยา โดยทั่วไปยาที่นำมาใช้เพื่อการรักษาจะยับยั้งการทำงานของรังไข่ อาจทำให้ไม่มีประจำเดือน ลดอาการปวดขณะมีประจำเดือน ส่วนจะมีผลต่อการดำเนินของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละคนที่แตกต่างกันไป และการใช้ยาต้องมีการติดตามและประเมินอาการเป็นระยะจากแพทย์ เพื่อดูรอยโรคว่ามีการตอบสนองต่อยาที่รักษาหรือไม่ ถ้าการรักษาไม่ได้ผลแพทย์จะแนะนำการรักษาโดยการผ่าตัดต่อไป
- การผ่าตัด จะเป็นการผ่าเพื่อเอารอยโรค หรือผ่าตัดถุงช็อกโกแลตซีสต์ออก เป็นการรักษาและนำผลชิ้นเนื้อออกมาเพื่อวินิจฉัย ในการผ่าตัดถูกนำมาใช้ตามข้อบ่งชี้ของการรักษา โดยการผ่าตัดของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แนวทางการผ่าตัดในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องและการผ่าตัดผ่านกล้องทางหน้าท้อง โดยการผ่าตัดจะมี 2 ทางเลือก คือ ผ่าตัดเลาะเฉพาะรอยโรคออกมาเพื่อการรักษาและวินิจฉัย ในคนไข้ที่ต้องการมีบุตรหรืออายุน้อยกว่า 45 ปี และการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ ในรายที่ไม่ต้องการมีบุตร และอายุ ใกล้ถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ซึ่งการผ่าตัดผ่านกล้องมีข้อดีคือ ช่วยลดปัญหาการเกิดพังผืด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว และมีความทรมานจากแผลผ่าตัดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง
รู้ไหม? รักษาถูกวิธี ลดโอกาสผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ซ้ำได้
เราต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของโรคว่า โรคนี้ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นโรคที่มีผลมาจากฮอร์โมนของเพศหญิงที่จะมีอาการตามรอบเดือน เพราะฉะนั้น ผู้หญิงที่เคยเป็นโรคนี้ ก็อาจจะมีโอกาสตรวจพบโรคนี้ไปตลอด..จนกว่ารังไข่จะฝ่อและไม่ผลิตฮอร์โมน หรือเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เพราะถ้ารังไข่ยังทำงานอยู่ โรคนี้ก็จะคงอยู่และมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยโรคนี้จึงควรได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่แรก เพื่อให้ได้รับการรักษาด้วยยาอย่างเหมาะสมและผ่าตัดเมื่อมีข้อบ่งชี้ ทั้งยังต้องติดตามอาการจนกว่าจะถึงวัยหมดประจำเดือน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการผ่าตัดซ้ำๆ หรือภาวะมีบุตรยาก หรือแม้แต่การกลายเป็นมะเร็งของโรคนี้
โรคเนื้องอกมดลูก ภัยร้ายที่ต้องระวัง
เนื้องอกมดลูกที่มีขนาดเล็กมักจะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่ในผู้ป่วยเนื้องอกมดลูกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ พบว่า…มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น! นั่นหมายความว่า ผู้ที่เป็นเนื้องอกมดลูกส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าเป็น…จนตรวจพบความผิดปกติในการตรวจสุขภาพประจำปี อาจจากการตรวจภายในหรืออัลตราซาวด์ ซึ่งอาการผิดปกติที่พบบ่อยมีดังนี้
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด มีเลือดประจำเดือนออกมากขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เกิดอาการซีดโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นลมบ่อย
- มีอาการปวดมากเวลามีประจำเดือน
- มีอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีอาการท้องอืด รู้สึกว่าท้องโต หรือท้องผูก หรืออาจคลำพบก้อนที่ท้อง
- บางรายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด
การรักษาเนื้องอกมดลูก..มีกี่วิธีกันนะ?
- การฉีดสารเข้าไปอุดเส้นเลือดที่เลี้ยงเนื้องอก (โดยไม่ต้องผ่าตัด) เป็นการใช้เทคนิคทางรังสีวิทยา โดยสอดสายผ่าหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ ไปจนถึงเนื้องอกแล้วฉีดสารที่ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ก้อนเนื้องอกที่ขาดเลือดจะฝ่อลง แต่วิธีนี้ก็มีข้อจำกัดว่าใช้รักษาเนื้องอกกรณีก้อนยังไม่โตมาก
- การผ่าตัดเฉพาะเนื้องอกออก ผู้ป่วยบางรายที่ยังต้องการจะมีบุตร จะผ่าตัดด้วยวิธีนี้ แต่บางรายอาจทำไม่สำเร็จ โดยมีหลายวิธี เช่น การผ่าตัดส่องกล้องทางช่องคลอด, ผ่าตัดแบบเปิดผนังท้องแบบแผลเล็ก เป็นต้น
- การผ่าตัดมดลูก โดยปัจจัยที่ใช้พิจารณาเลือกแนวทางผ่าตัด คือพิจารณาจากลักษณะอาการผิดปกติ และมีบุตรเพียงพอแล้ว ซึ่งมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี เช่น การผ่าตัดเอามดลูกออกทางช่องคลอด, การผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง, การผ่าตัดมดลูกเปิดผนังหน้าท้องแผลเล็ก และ การผ่าตัดมดลูกแบบเปิดแผลหน้าท้อง
ไม่อยากเป็นเนื้องอกมดลูก…คุณก็ป้องกันได้!!
เนื่องจากสาเหตุการเกิดเนื้องอกมดลูก ยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัด ทราบเพียงแต่ว่า…โรคนี้มีความสัมพันธ์กันกับพันธุกรรมและฮอร์โมนเพศหญิง และเรายังทราบว่า…ความอ้วนเกินไป ผอมเกินไป เครียดเกินไป ก็มีผลทำให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของรังไข่ไม่เป็นปกติ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายเป็นปกติ ก็จะส่งผลให้มดลูกและรังไข่ทำหน้าที่ได้ดีตามไปด้วย
ไม่ว่าโรคช็อกโกแลตซีสต์ เนื้องอกมดลูก หรือโรคทางนรีเวชอื่นๆ ล้วนต้องได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ดังนั้น หากสังเกตว่าตนเองมีอาการผิดปกติอย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาต้นตออย่างละเอียด
พญ. อรัญญา ยันตพันธ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช
ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2