คุณรู้จักโรคลมชักดีแค่ไหน? โรคลมชัก ไม่ใช่แค่ ชัก กระตุก น้ำหลายไหล เหมือนที่หลายคนเข้าใจ เพราะอาการเกร็งมือ เกร็งเท้า แค่นาทีเดียวก็เป็นอาการของโรคลมชักได้…ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกับ “โรคลมชัก” ให้มากขึ้นดีกว่า
โรคลมชัก (Epilepsy) หรือที่คนโดยทั่วไปมักเรียกว่า “ลมบ้าหมู” โรคนี้เกิดจากที่คลื่นสมองที่ผิดปกติในสมองและกระตุ้นเซลล์สมอง จึงทำให้เกิดอาการชัก เกร็ง กระตุก น้ำลายไหล กัดลิ้น ไม่รู้สึกตัว ซึ่งโรคนี้พบได้บ่อย และกับทุกเพศทุกวัย
อาการแบบนี้แหละโรคลมชัก
สำหรับอาการชักนั้น สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ โดยไม่ได้จำกัดแค่อาการ เกร็ง กระตุก กัดลิ้น เหมือนที่หลายคนเข้าใจ บางรายรู้ตัวดีแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มีอาการเกร็งปลายมือ หรือปลายเท้าข้างเดียวหรือ 2 ข้าง บางรายมีอาการนิ่ง เหม่อลอย หรือล้มลงขณะเดิน บ้างมีอาการหัวเราะ อาการชักมักเป็นไม่นานประมาณ 1-2 นาที และขณะที่จะกลับมาเป็นปกติคนไข้มักจะมีอาการเบลอ จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือบางคนหลับไปเลย และนอกจากการชักระยะสั้น บางคนอาจมีอาการชักต่อเนื่องติดต่อกัน ซึ่งยิ่งอันตรายและต้องระวังมากขึ้น
สาเหตุของโรคลมชัก
จริงๆ แล้วโรคลมชักเป็นโรคที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางพันธุกรรม, ภาวะสมองพิการแต่กำเนิด, เนื้องอกสมอง, เส้นเลือดที่ผิดปกติ เช่น เส้นเลือดขอดในสมอง เส้นเลือดแตก หรือ การติดเชื้อในสมอง ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคลมชักได้ทั้งสิ้น
รู้ก่อนรักษาก่อน…
ซึ่งการวินิจฉัยโรคและความชัดเจนของลักษณะอาการชักมีความสำคัญกับการรักษา ดังนั้นหากสงสัยว่ามีอาการชัก ควรรีบไปพบแพทย์ทันท เพื่อให้แพทย์ได้เห็นอาการขณะที่กำลังเป็นถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ได้มีอาการขณะพบแพทย์ก็สามารถเล่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดเมื่อแพทย์ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น นอกจากนี้แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม อาทิ การตรวจคลื่นที่ผิดปกติในสมอง โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ซึ่งอาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง เพื่อความแน่ชัด หรือต้องตรวจอย่างละเอียดด้วยการตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
“โรคลมชัก” รักษาได้อย่างไร?
เริ่มต้นโดยการรักษาด้วยการรับประทานยากันชัก เพื่อควบคุมอาการชัก แต่ในกรณีที่รับประทานยาเป็นเวลานานอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ง่วงนอน ในตัวยาบางชนิดอาจทำให้ขนดก เหงือกโต เกร็ดเลือดต่ำ ซึ่งถ้ารักษาด้วยยาระยะยาวพร้อมกับใช้ยาหลายชนิดแต่ยังไม่สามารถควบคุมการชักได้ อาจต้องพิจารณาการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเพื่อลดอาการชัก
การผ่าตัดรักษาโรคลมชัก มี 2 แบบ คือ
- ผ่าตัดหายขาด กลุ่มนี้หลังผ่าตัดคุณภาพชีวิตจะดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ผ่าตัดเพื่อประคับประคอง ถึงแม้ในบางกรณีผ่าตัดแล้วไม่หายขาด แต่ประโยชน์ของการผ่าตัดก็มีมาก เพราะช่วยลดความถี่ในการชัก และลดความรุนแรงของการชักได้เป็นอย่างดี
ผ่าตัดแล้วไม่หายขาดจะผ่าตัดทำไม? เมื่ออ่านข้อมูลข้างต้น เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามเช่นนี้ในใจ…ก่อนอื่นต้องบอกว่า ข้อจำกัดและเหตุผลในชีวิตของคนเรานั้นแตกต่างกัน เพราะคนไข้ที่ต้องทำงาน หากง่วงงุนเพราะยา มีอาการชักบ่อยๆ หรือเดินแล้วล้มเกิดอุบัติเหตุบ่อยเพราะอาการชัก นั่นหมายความว่าโรคลมชักทำให้มีข้อจำกัดในการทำงาน การใช้ชีวิต ย่อมเกิดผลเสียได้ในหลายๆ ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่อาจส่งผลถึงความมั่นคงในชีวิต ดังนั้นการผ่าตัดจึงมีความสำคัญกับคนไข้กลุ่มนี้ แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการชักดีขึ้น ย่อมเป็นเลือกที่ดีสำหรับชีวิต
ข้อควรระวังในการใช้ชีวิตของผู้ป่วยโรคลมชัก
- หลีกเลี่ยงการทำงานในสถานการณ์เสี่ยง เช่น การทำงานในที่สูง การขับรถ การทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น
- อย่าละเลยการรักษา เพราะการปล่อยให้มีอาการชักบ่อย และไม่รักษา นั่นหมายความว่าสมองโดนกระตุ้นบ่อยๆ การทำงานของสมองจะแย่ลง พัฒนาการช้า สติปัญญา ความคิด ความจำจะแย่ลงเรื่อยๆ และส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน
โรคลมชักอาจทำร้ายผู้อื่นได้แบบไม่คาดคิด
การเป็นโรคลมชักไม่ใช่โรคที่มีอาการแล้วไปทำร้ายผู้อื่น เพียงแต่ผู้ป่วยโรคลมชักที่ไม่ทราบว่าตนเองผิดปกติ หรือทราบแต่ยังฝืนทำกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น การขับรถ ซึ่งขณะขับรถหากมีอาการของโรคลมชัก หมดสติ ชักเกร็ง ย่อมทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้ หรือมีอาการชักหมดสติขณะทำกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยลมชัก นั่นย่อมส่งผลกระทบเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรคลมชักจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมอันนำไปสู่อันตราย เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณและคนรอบข้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่คุณหรือคนรอบข้างคาดว่าน่าจะมีอาการของโรคลมชัก อย่าละเลยที่จะสงสัยไว้ก่อน และรีบพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน…เพราะหากตรวจแล้ว ไม่เป็น ย่อมดีกว่าเป็นแล้วไม่ได้ตรวจรักษานะครับ
นพ.บุญโชติ เคียงกิติวรรณ
ศัลยแพทย์ศูนย์สมองและระบบประสาท
โรงพยาบาลพญาไท 3