ไข้หวัดใหญ่ อาการป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยสามารถพบได้ในทุกฤดูกาล แต่ในฤดูหนาวจะมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า ซึ่งการดูแลตนเองเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อย่างถูกวิธี ก็เพื่อการลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่อาจส่งผลให้เป็นอันตรายรุนแรง อย่างการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจได้
เช็กให้ดี..ป่วยเป็นไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ กันแน่
บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยสับสนระหว่างอาการของไข้หวัดกับไข้หวัดใหญ่ ทำให้รักษาไม่ตรงกับโรคที่เป็น โดยหากผู้ป่วยมีไข้ต่ำๆ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ และสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ นั่นแสดงว่าอาจเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาที่ไม่รุนแรง
แต่เมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณหลัง ต้นขา ต้นแขน ร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไอ มีน้ำมูก มักเป็นสัญญาณเตือนจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการจะทุเลาและดีขึ้นภายใน 7 วัน แต่บางรายก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรดูแลตนเองให้ดีเป็นพิเศษเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
4 วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
- ควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง หมั่นเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาเพื่อลดไข้ และพักผ่อนให้เพียงพอ
- สวมเสื้อผ้าที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ สวมผ้าปิดปากและจมูกเพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย
- ดื่มน้ำอุ่นมากๆ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นเป็นอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย และหากต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นควรใช้ช้อนกลาง
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีภูมิต้านทานต่ำ
เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบมาพบแพทย์
นอกจากการดูแลตนเองทั้ง 4 ข้อข้างต้นแล้ว การหมั่นสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรงก็เป็นอีกข้อควรปฏิบัติที่ผู้ป่วยไม่ควรมองข้าม
- อาการไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว และไอ ไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน (หลังจากกินยาแล้ว)
- เหนื่อย หอบ หายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอกเวลาไอหรือหายใจทุกครั้ง
- คลื่นไส้ อาเจียนมาก ไม่สามารถทานอาหารได้