ถุงน้ำดี อวัยวะที่มีหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี เพื่อใช้ในการช่วยย่อยไขมัน และเมื่อสารประกอบในน้ำดีเกิดความไม่สมดุลกัน ก็จะทำให้เกิดตกตะกอนกลายเป็นก้อนนิ่ว ส่วนใหญ่พบโรคนี้ในผู้ที่อายุระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งผู้ป่วยมักเกิดความกังวลว่า..การผ่าตัดรักษาจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่ และนี่คือคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีควรรู้
หากมีอาการเหล่านี้..คือสัญญาณว่าควรรีบพบแพทย์
แม้ว่าผู้ป่วยกว่า 50% ไม่มีอาการแสดง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการแน่นอืดท้อง มีลมมาก หรือมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ บริเวณลิ้นปี่ และอาการปวดท้องมักจะเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น ปวดบริเวณยอดอก และปวดร้าวทะลุไปยังบริเวณหลัง อาจมีไข้หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ ซึ่งการจะตรวจหาว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่นั้น ต้องใช้การเอกซเรย์ช่องท้อง หรือการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง (Ultrasound)
พบนิ่วในถุงน้ำดี อาจไม่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเสมอไป
ในผู้ที่ตรวจพบนิ่วถุงน้ำดีที่ไม่มีอาการ ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจะต้องผ่าตัด แพทย์อาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีอาการปวดท้องรุนแรงมากขึ้น ตัวและตามีสีเหลือง มีไข้ ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที
นอกจากนี้ การรักษาอื่นๆ ที่ได้เป็นการผ่าตัดถุงน้ำดี อาจใช้การรับประทานยาละลายนิ่ว แต่เพราะนิ่วมีส่วนประกอบของแคลเซียม ทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาวิธีนี้ไม่ดีเท่าที่ควร และผู้ป่วยมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ใหม่
ผู้ป่วยกลุ่มไหนบ้าง ? ที่ควรรักษาด้วยการ “ผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดี”
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแต่ไม่มีภาวะถุงน้ำดีอักเสบ จะพิจารณาผ่าตัดเมื่อผู้ป่วยพร้อม หรือในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจ และหลอดเลือด หากตรวจพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีแล้วปล่อยไว้ อาจทำให้มีอาการถุงน้ำดีอักเสบและต้องผ่าตัดฉุกเฉิน ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงต่ออันตรายมากยิ่งขึ้น
ส่วนในรายที่มีนิ่วในถุงน้ำดีและมีการอักเสบด้วยนั้น จะพิจารณาให้ทำการผ่าตัดหรือให้ยาปฏิชีวนะตามดุลยพินิจของแพทย์ แต่จะมีบางกรณีที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ทันที ต้องให้การรักษาเบื้องต้นจนกว่าอาการเหมาะสมจึงสามารถผ่าตัดได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวคือผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้..
- ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบในช่องท้องรุนแรง
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของโลหิต
- ผู้ป่วยที่มีอาการตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
- ผู้ป่วยที่มีอาการโรคทางหัวใจหรือปอดรุนแรง
- ผู้ป่วยที่ไม่สามารถดมยาสลบได้
ผู้ป่วยนิ่วในถุงน้ำดีกลุ่มใด ? ที่การผ่าตัดรักษา…อาจเป็นเรื่องยาก
- ผู้ป่วยที่เคยทำผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
- ผู้ป่วยที่มีอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันรุนแรง
- ผู้ป่วยที่มีอาการตับแข็งขั้นรุนแรง
- ผู้ป่วยตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่มีนิ่วในท่อน้ำดีร่วมด้วย
การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ทำได้ 2 วิธี ดังนี้
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดผ่านบริเวณช่องท้องด้านชายโครงด้านขวา
- การผ่าตัดโดยวิธีการส่องกล้อง คือการผ่าตัดด้วยเครื่องมือที่สอดผ่านเข้าไปในช่องท้อง แล้วทำการผ่าตัดผ่านกล้องส่องตรวจ เป็นการผ่าตัดที่มีกระทบต่อเนื้อเยื่อต่างๆ น้อยกว่า และแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กๆ เท่านั้น
ผู้ป่วยที่เหมาะสำหรับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยกล้องส่องตรวจ
- ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดี แต่อาการไม่มาก
- ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดี และถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน
- ผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ ชนิดไม่มีนิ่วทางเดินน้ำดีร่วมด้วย
- โรคติ่งเนื้อ (POLYP) ถุงน้ำดี ที่มีหลายติ่ง และติ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร
ข้อดีของการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยกล้องส่องตรวจ
- เจ็บแผลน้อยกว่าการผ่าตัดเปิดแบบเดิม
- ระยะเวลาในการพักฟื้นที่โรงพยาบาลสั้นกว่า
- สามารถกลับไปใช้ชีวิต เรียน ทำงานได้เร็ว ไม่ต้องพักฟื้นร่างกายเป็นเวลานาน
- แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กทำให้หายเร็วกว่า
- อาการแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อยกว่า เช่น การติดเชื้อที่แผล ไส้เลื่อนที่แผลผ่าตัด เส้นประสาทที่ผนังหน้าท้องถูกตัดขาดหรือปอดอักเสบหลังผ่าตัด เป็นต้น
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
-
ความเสี่ยงทั่วไปของการผ่าตัด
- ปวดแผล แต่สามารถบรรเทาอาการได้โดยยาแก้ปวด
- อาจเกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดได้เหมือนการผ่าตัดทั่วไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะอักเสบและความรุนแรงของโรค โรคประจำตัว การรับประทานยา และสุขภาพผู้ป่วย
- ภาวะแทรกซ้อนจากยาสลบ เช่น ในกรณีดมยาสลบ จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ระคายเคือง หรือเจ็บในคอจากการใส่ท่อช่วยหายใจ
- ภาวะปอดบวม เนื่องจากผู้ป่วยหายใจไม่เต็มที่หรือไม่สามารถไอเอาเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้
- ภาวะเส้นเลือดดำที่ขาเกิดอุดตัน เพราะไม่มีการลุกเดิน
-
ความเสี่ยงเฉพาะทางของการผ่าตัด
- ภาวะเลือดออกขณะผ่าตัด มีโอกาสพบ 0.11-1.97 %
- เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะอื่นในช่องท้อง เช่น ท่อน้ำดีใหญ่ (มีโอกาสพบ 0.26-0.6%) ลำไส้ (มีโอกาสพบ 0.14-0.35 %) ความเสี่ยงนี้มีโอกาสเกิดมากขึ้นในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยทำผ่าตัดในช่องท้องอื่น มาก่อน (Previous Abdominal Operation) ถุงน้ำดีอักเสบและนิ่วท่อน้ำดีใหญ่
- มีโอกาสเกิดน้ำดีซึมออกจากท่อทางเดินน้ำดีขนาดเล็กที่ผิวของตับ พบได้ประมาณ 0.3-0.9 %
- การผ่าตัดแบบเปิด อาจเกิดความเสี่ยงตามข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 3 ได้ แต่พบน้อยกว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้อง
- ผ่าตัดโดยวิธีการส่องกล้อง อาจมีโอกาสที่จะต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง พบได้ประมาณ 1.9 % จากกายวิภาคของทางเดินน้ำดีที่ผิดปกติ หรือเกิดจากโรคที่รุนแรง เช่น ถุงน้ำดีเป็นหนอง นิ่วในท่อน้ำดีใหญ่ หรือ ภาวะที่ไม่สามารถควบคุมภาวะเลือดออกจากการผ่าตัดไปถูกเส้นเลือด
- อาจเกิดภาวะไส้เลื่อนบริเวณแผลผ่าตัดที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด ซึ่งพบได้ในการผ่าตัดทั้ง 2 วิธี
- ภาวะอักเสบในช่องท้อง หรือการอักเสบเป็นฝีในตับได้
การปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
-
การปฏิบัติตัวก่อนการผ่าตัด
ผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจอย่างละเอียด เช่น การเอกซเรย์ การตรวจเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือการส่งปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรม เพื่อให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดและการวางยาสลบ
-
การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด
- งดน้ำและอาหาร ตามแผนการรักษาของแพทย์ ซึ่งจะได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดในขณะที่ไม่ได้รับประทานอาหาร
- หากมีอาการปวดแผลสามารถแจ้งเพื่อรับยาแก้ปวด และใช้มือหรือหมอนประคองแผลเวลาไอ จาม หรือ เมื่อมี การเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อลดการกระเทือนของแผลที่นำมาสู่อาการปวดแผล
- เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และเพื่อป้องกันภาวะพังผืดที่ลำไส้ ฝึกการ ไอ หรือหายใจเพื่อป้องกันภาวะปอดอักเสบหลังผ่าตัด
- การรับประทานอาหาร โดยเริ่มจาก
-
- จิบน้ำ
- รับประทานอาหารเหลว
- รับประทานโจ๊ก หรืออาหารอ่อน
- รับประทานอาหารได้ ตามปกติภายในเวลา 7 วัน
- ระยะพักรักษาในโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยปกติประมาณ 2-3 วัน
- สามารถปฏิบัติภารกิจตามปกติได้หลังผ่าตัด ประมาณ 7 วัน
- สามารถออกกำลังกาย เล่นกีฬาตามปกติได้ภายใน 3-4 เดือน หลังผ่าตัดในกรณีส่องกล้อง หากเป็นกรณีผ่าตัดแบบเปิดอาจใช้เวลานานขึ้นเป็น 5-6 เดือน