ฉีดยาเข้าลูกตา (Intravitreous) วิธีการรักษาโรคที่เกี่ยวกับจอตา

พญาไท 2

1 นาที

พ. 20/05/2020

แชร์


Loading...
ฉีดยาเข้าลูกตา (Intravitreous) วิธีการรักษาโรคที่เกี่ยวกับจอตา

การฉีดยาเข้าลูกตา เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคที่เกี่ยวกับจอตา (Intravitreous Injection) สามารถใช้รักษาได้หลายภาวะอาการ เช่น ภาวะหลอดเลือดผิดปกติที่ดวงตา จอตาบวม เบาหวานขึ้นตา หรือหลอดเลือดดำที่จอตาอุดตัน เป็นต้น ซึ่งการฉีดยาเข้าลูกตาจะเข้าไปยับยั้งการเติบโตของหลอดเลือดที่ผิดปกติ ลดการบวมของจอตา และช่วยให้จุดภาพชัดขึ้น

การเตรียมผู้ป่วยก่อนเริ่มฉีดยาเข้าลูกตา

ก่อนเริ่มต้นขั้นตอนการฉีดยา เจ้าหน้าที่จะเตรียมความพร้อมผู้ป่วยโดยให้นอนราบบนเตียงและหยอดยาชา (0.5%tetracine Eye drop) ยา Bevacizumab และ Ranibizumab เป็นยากลุ่ม anti-vascular endothelial growth factor (anti-VEGF) มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดงอกใหม่หายไป ลดการอักเสบและลดการบวมของจอประสาทตาและจุดรับภาพ  จึงได้มีการนำมาใช้ฉีดเข้าลูกตาเพื่อรักษาโรคตาหลายชนิด ได้แก่ โรคจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration) ภาวะจุดรับภาพบวมจากโรคเบาหวาน (diabetic macular edema) ภาวะจุดรับภาพบวมจากเส้นเลือดดำจอตาอุดตัน (Macular edema in retinal vein occlusion) และโรคจอประสาทตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด (Retinopathy of prematurity) เป็นต้น

ขั้นตอนการฉีดยาเข้าลูกตา

  1. ทำความสะอาดรอบดวงตาข้างที่จะฉีดยาด้วยสำลี Alcohol และ Irrigate ตาด้วย Betadine solution
  2. ฉีดยาเข้าลูกตาโดยฉีดบริเวณเยื่อบุตาขาวในลูกตาบริเวณเยื่อบุตาขาว ใส่ Wire retractor (เครื่องถ่างตา) สำหรับเปิดเปลือกตาบนและล่าง
  3. เจาะน้ำลูกตา (anterior chamber) แล้วดูดน้ำออกจากช่องหน้าลูกตาตามจำนวนยาที่ฉีดเข้าไป เพื่อลดความดันลูกตา หลังดูดน้ำออกแล้วให้กดด้วย cotton swab sterile ประมาณ 30 วินาที
  4. หยอดยา Antibiotic เช่น tobrex หรือ Poly-oph Eye drop เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  5. ปิดตาด้วย eye pad ในรายที่มีเลือดซึมออกมา บางรายอาจไม่ต้องปิด และให้สำลีหรือ Gauze สำหรับซับน้ำตาที่ไหลออกมา ถ้าพบความผิดปกติ เช่น ปวดตามาก มีเลือดซึมออกมามาก ให้มาพบแพทย์ก่อนวันนัด แพทย์จะนัดอีกครั้งประมาณ 6 อาทิตย์เพื่อติดตามการรักษาโดยขยายม่านตาและตรวจตาโดยเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้ง

อาการข้างเคียงที่อาจพบได้หลังได้รับการฉีดยาเข้าในลูกตา(Intravitreous)

  • การมองเห็นลดลงผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว(Blure vision) จากยาที่ฉีดในลูกตา
  • มีอาการปวดตา
  • ตาสู้แสง หรือถูกแสงจ้าไม่ได้
  • มองเห็นจุดดำ หรือ คล้ายยุงหรือลูกน้ำลอยไปลอยมา
  • ตาแดงติดเชื้อได้ หรือมีเลือดออกในเยื่อบุตาขาวได้ (ควรงดโดนน้ำหลังฉีดยา 1 อาทิตย์และหยอดยาฆ่าเชื้อร่วมด้วยนาน 1 อาทิตย์)

ผลแทรกซ้อนในการฉีดยาเข้าลูกตา ( Anti-VEGF-Intravitreous)

  • มีโอกาสติดเชื้อโรคในลูกตาหลังฉีดยาได้ถึง 1% ซึ่งส่งให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น
  • มีโอกาสเกิด Myo cardial infarction 2.2% (หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน) และทำให้หัวใจวายได้
  • มีโอกาสเกิดเส้นเลือดสมองตีบ (Stroke) 3.8% ในคนที่ไม่มีโรคประจำตัว แต่ถ้ามีโรคประจำตัวหรือมีประวัติเป็นเส้นเลือดสมองตีบมาก่อน โอกาสเกิดเส้นเลือดสมองตีบซ้ำจะมีถึง 10% หากไม่รักษาเป็นไปได้สูงที่โรคนี้จะทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยเสียไปมาก หากเราใช้ยาฉีดเข้าตามีโอกาสสูงที่การมองเห็นดีขึ้น หรือชะลอการลดลงของการมองเห็นได้มาก

การดูแลตนเองหลังฉีดยาเข้าลูกตา 

  • ควรหลีกเลี่ยงการโดนฝุ่นและน้ำที่เข้าลูกตาประมาณ 1 อาทิตย์
  • ควรหยอดยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่ง เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อในลูกตา
  • ควรงดเล่นกีฬาที่มีการกระทบกระเทือนนาน 1 เดือน
  • ควรนอนพักผ่อนมากๆ และใช้สายตาเท่าที่จำเป็น
  • ควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด

แชร์

Loading...
Loading...
Loading...