จอประสาทตาลอก จอตาลอก หรือ จอตาหลุดลอก (Retinal detachment) คือ ภาวะที่เกิดการแยกหรือลอกตัวของจอประสาทตาออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแล่บหรือแสงแฟลชถ่ายรูป และมีอาการมองเห็นจุดดำหรือเส้นสีดำๆ คล้ายเงาหยากไย่ลอยไปลอยมา ร่วมกับมีอาการตามัว ซึ่งโรคนี้สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่ด้วยสาเหตุของโรคนี้ที่มักเกิดจากความเสื่อมตามวัย จึงทำให้พบได้บ่อยในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดจอประสาทตาลอก
- มีอายุมาก สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้จอประสาทตาลอกมักเกิดจากน้ำวุ้นลูกตาด้านหลังที่เสื่อมตามอายุมีการหดตัวและลอกออกจากจอตา (Posterior vitreous detachment – PVD) ทำให้เกิดแรงดึงรั้งต่อจอประสาทตา ซึ่งมักพบได้บ่อยในคนที่มีอายุมากกว่า 70 ปี และพบได้น้อยในคนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี
- มีสายตาสั้นมาก เพราะมีการเสื่อมของน้ำวุ้นลูกตาในอายุที่น้อยกว่าปกติ อีกทั้งยังมีจอประสาทตายืดออกไปจนบางกว่าของคนปกติ จึงมีการฉีกขาดได้ง่ายกว่า
- มีประวัติจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง
- มีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะจอประสาทตาลอก
- มีการติดเชื้อหรือการอักเสบภายในลูกตา
- มีเนื้องอกหรือมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในลูกตาหรือแพร่กระจายมาจากส่วนอื่น
- เป็นเบาหวานที่มีโรคของจอประสาทตาแทรกซ้อน
- การได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุที่ลูกตาอย่างรุนแรง
- เคยได้รับการผ่าตัดภายในลูกตามาแล้ว เช่น การผ่าตัดต้อกระจก
- เป็นโรคตา เช่น Retinoschisis (โรคจอประสาทตาหลุดลอกชนิดหนึ่ง), โรคยูเวียอักเสบ (Uveitis), Lattice degeneration
อาการของจอประสาทตาลอก
- ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ โดยไม่มีอาการปวดตา เจ็บตา ตาแดง หรือตาแฉะแต่อย่างใด
- ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแล่บหรือแสงแฟลชถ่ายรูป (Flashing) ในตาข้างหนึ่งหรือสองข้างในขณะที่หลับตาหรืออยู่ในที่มืด ซึ่งมักจะเกิดจากจอประสาทตาถูกกระตุ้นจากแรงดึงรั้งของน้ำวุ้นลูกตาที่เข้าไปในจอประสาทตาจากรูที่ฉีกขาด
- มีอาการมองเห็นจุดดำหรือเส้นสีดำ ๆ คล้ายเงาหยากไย่ ยุง หรือแมลงวันลอยไปลอยมาอยู่ในลูกตา (Eye floaters) ซึ่งจะมองเห็นได้ชัดในที่สว่าง โดยเฉพาะเวลาแหงนมองท้องฟ้าใส หรือมองไปที่ผนังสีขาว หรือก้มลง เช่น ในขณะที่ดื่มน้ำ ทำให้ผู้ป่วยนึกว่ามีหยากไย่อยู่ที่ข้างนอกลูกตา และพยายามขยี้ตาแต่เงาก็ไม่หายไป จึงสร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วย แต่พอนาน ๆ เข้าก็รู้สึกเคยชิน
- มีอาการตามัวร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้การมองเห็นคล้ายมีหมอกบัง หรือเห็นเงาคล้ายม่าน หรือเห็นภาพเป็นคลื่น ๆ หรือคดงอ
- หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้เป็นอยู่นาน ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกว่ามองเห็นเงาอยู่ที่ขอบของลานสายตา ซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มลานสายตาภายในไม่กี่วัน
คำแนะนำหลังการผ่าตัดจอประสาทตา
- ควรใส่ที่ครอบตาไว้เป็นเวลา 1 เดือน หรือตามที่แพทย์สั่ง ในเวลากลางวันอาจใช้แว่นกันแดดได้
- ตาข้างที่ผ่าตัดอาจมีอาการเคืองตาได้ ห้ามใช้มือหรือวัสดุแปลกปลอมสอดเข้าไปแยงตา หรือขยี้ตา เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- ยาหยอดตา ยาป้าย ควรใช้ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น
- หลังการผ่าตัด 2-3 วันแรก อาจมีการอักเสบของเยื่อบุตาขาว เปลือกตาบวมแดงได้ สามารถใช้น้ำอุ่นประคบและนอนยกศีรษะสูงเพื่อบรรเทาอาการบวมได้
- การอาบน้ำ ให้ตักน้ำราดตั้งแต่ไหล่ลงมา ห้ามไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตาข้างที่ผ่าตัด ถ้าใช้ฝักบัวให้ใช้ฝักบัวชนิดจับมือเท่านั้น ไม่ควรใช้ชนิดติดข้างฝาเพราะจะมีโอกาสที่น้ำจะพุ่งกระจายเข้าตาได้
- การสระผม ให้สระเมื่อจำเป็น ถ้าต้องสระผมให้นอนหงาย หลับตา แล้วให้ผู้อื่นสระให้เพื่อไม่ให้น้ำเข้าตาจนกว่าจะพ้นระยะเวลา 1 เดือน หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- การทำความสะอาดใบหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าโดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดหน้าเบา ๆ เฉพาะข้างที่ไม่ได้ผ่าตัด ส่วนตาข้างที่ทำการผ่าตัดให้เช็ดวันละครั้งหลังตื่นนอน (ก่อนเช็ดควรล้างมือให้สะอาดและระวังอย่าให้น้ำหรือฝุ่นละอองเข้าตา)
- การแปรงฟัน ให้แปรงฟันเบา ๆ ไม่ส่ายศีรษะไปมา
- หลีกเลี่ยงการก้มหน้าต่ำกว่าระดับเอว ถ้าจำเป็นต้องก้มเก็บของให้ใช้วิธีนั่งลงเก็บ
- หลีกเลี่ยงการไอหรือจามแรง ๆ ถ้าจำเป็นให้พยายามไม่ไอหรือจามเต็มที่
- ควรระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การหกล้ม การอุ้มเด็ก เพราะเด็กอาจเอามือฟาดมาโดนตาได้
- สามารถใช้สายตาได้ตามปกติ เช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี แต่ถ้ารู้สึกเพลียสายตาก็ให้หยุดพัก
- สามารถรับประทานอาหารได้ทุกอย่างยกเว้นผู้ป่วยที่เป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ที่ควรรับประทานอาหารหรือจำกัดอาหารบางอย่าง
- ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ปวดตามาก ตาแดง มีขี้ตามาก ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนวันนัด และในวันที่มาตรวจให้นำยาหยอดตาและยาป้ายตา (ถ้ามี) มาด้วยทุกครั้ง
- หลังการผ่าตัด 2 เดือนแรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม เช่น การกระโดด และไม่ควรยกของหนักหรือทำงานหนักที่อาจกระทบกระเทือนถึงตาได้ เช่น ขุดดิน ซักผ้า ตำน้ำพริก เป็นต้น
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยภาวะจอประสาทตาลอก
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์
- ปรึกษาพูดคุยกับจักษุแพทย์ให้เข้าใจในโรคและในผลของการรักษา เพื่อการยอมรับและปรับตัว
- ถ้าสายตาเสียไปบ้างแล้ว ผู้ป่วยควรปรับสถานที่พักอาศัยให้เข้ากับสายตา เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเพิ่มแสงสว่างภายในบ้านและทางเดิน การจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้เข้าที่เป็นระเบียบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการเดินชน รวมถึงการจัดหาผู้ช่วยเหลือในเรื่องจำเป็นต่าง ๆ เช่น การพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เป็นต้น
- ไปพบจักษุแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบไปพบจักษุแพทย์ก่อนนัดเมื่อการเห็นภาพเลวลง หรือเมื่อมีอาการทางสายตาที่ผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่
สำหรับผลการรักษา ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาตั้งแต่ภาวะจอประสาทตาฉีกขาดหรือเป็นรู หรือจอประสาทตาลอกในระยะแรกเริ่ม การรักษามักจะช่วยให้สายตาฟื้นตัวได้ดี จึงไม่ควรชะล่าใจเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น