ทำความเข้าใจ “โรคมะเร็ง” และวิธีการรักษา

ทำความเข้าใจ “โรคมะเร็ง” และวิธีการรักษา

ผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีความสับสนและขาดความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรค บางครั้งผู้ป่วยอาจเจอกับคำถามทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง ดังนั้นการเข้าใจในหลักการรักษามะเร็งจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลังจากที่วินิจฉัยมะเร็งแล้วต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อทราบระยะของโรค เพื่อกำหนดแผนการรักษาต่อไป

รู้จักการรักษามะเร็งแต่ละระยะ

เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายของการรักษาโรคมะเร็ง หากผู้ป่วยเป็นมะเร็งในระยะแรก หมายถึงมะเร็งอยู่เฉพาะที่ ยังไม่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงอื่นหรือแพร่กระจายสามารถให้การรักษาควบคุมโรคได้ แต่ในกรณีที่มะเร็งลุกลามมาก จึงไม่สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดได้ในตอนแรก อาจต้องรับการรักษาวิธีอื่นก่อนให้ก้อนมะเร็งยุบลง ยับยั้ง ควบคุมไม่ให้ลุกลาม แล้วค่อยไปผ่าตัดรักษา

 

แต่หากเกิดการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว ส่วนใหญ่เป้าหมายของการรักษามะเร็งระยะแพร่กระจายจะเป็นการรักษาเพื่อควบคุม ยับยั้ง ลดจำนวนมะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี จะเห็นได้ว่าการวินิจฉัยมะเร็งที่ถูกต้องและการตรวจเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมมีความสำคัญต่อผู้ป่วยเป็นมาก เพื่อให้การรักษาเป็นไปตามเป้าหมาย

“โรคมะเร็ง” รักษาได้แบบไหนบ้าง?

  • การผ่าตัด (Surgery)

การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษามะเร็งเฉพาะที่ การรักษามะเร็งระยะแรกส่วนใหญ่มักต้องมีการผ่าตัด เช่น มะเร็งศีรษะและคอ เต้านม ปอด มะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ด้วยปัจจุบันการผ่าตัดมีความก้าวหน้ามาก หลายอวัยวะสามารถผ่าตัดโดยไม่ทำให้เสียรูปทรง และหลีกเลี่ยงการสูญเสียอวัยวะนั้นไป เช่น มะเร็งเต้านม มีการผ่าตัดเฉพาะก้อน (Lumpectomy) ไม่ต้องตัดนมทั้งเต้า (Mastectomy), มะเร็งกระดูกของกระดูกต้นขา แพทย์สามารถผ่าตัดเก็บรักษาขาได้ (Limbsparing Surgery) โดยไม่ต้องตัดขา (Amputation)

 

นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดแบบส่งผลกระทบน้อย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) เช่น การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งทำได้ทั้งการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ การผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้หุ่นยนต์ช่วย (Robotic Assisted Laparoscopic Surgery) เพื่อรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก

  • รังสีรักษา (Radiotherapy)

การรักษาด้วยรังสีบำบัด หรือเรียกตามความเข้าใจทั่วไปว่า การฉายแสง เป็นการรักษามะเร็งเฉพาะตำแหน่ง โดยการฉายแสงเป็นการรักษามะเร็งโดยใช้รังสีขนาดสูงตามตำแหน่งที่แพทย์ต้องการควบคุมมะเร็ง การฉายแสงนี้รังสีจะผ่านผิวหนังไปยังตำแหน่งที่ต้องการทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งแพทย์รังสีรักษาจะเป็นผู้วางแผนการให้ปริมาณรังสีให้มีผลต่ออวัยวะข้างเคียงน้อยที่สุด เพราะสามารถกำหนดความลึกและบริเวณที่ต้องการได้ บางกรณีแพทย์อาจใช้รังสีรักษาชนิดสอดใส่ ฝั่งแร่ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีไปในตำแหน่งใกล้กับก้อนมะเร็งโดยตรง (Brachytherapy) ได้ เช่น ในมะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีรังสีรักษาพัฒนาไปมาก สามารถลดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะข้างเคียง ลดระยะเวลาการฉาย ความแม่นยำเฉพาะจุด ด้วยการฉายแบบ 3D 4D เป็นต้น

รักษาด้วยรังสีรักษาอย่างไร?

  • เพื่อการรักษา

การฉายแสงเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งบริเวณศีรษะและคอระยะแรก การฉายแสงอย่างเดียวอาจเพียงพอในการรักษา หากมะเร็งลุกลามมากขึ้น การรักษาด้วยการฉายแสงร่วมกับยาเคมีบำบัดยังสามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน ในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อห้ามการผ่าตัด การฉายแสงเป็นการรักษาหลัก แทนการผ่าตัดได้

 

สำหรับการฉายแสงเสริม (Adjuvant Radiotherapy) หลังการผ่าตัด เช่น การรักษามะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดเก็บเต้านม (Breast-conserved Surgery) ผู้ป่วยต้องได้รับการฉายแสงบริเวณเต้านมหลังการผ่าตัดการฉายแสงเพื่อรักษาอวัยวะแทนการผ่าตัด (Organ-preserved Therapy)

  • การรักษาเพื่อบรรเทาอาการจากมะเร็ง (Palliative Radiotherapy)

เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้นทำให้เกิดอาการทุกข์ทรมานจากมะเร็งตามอวัยวะที่มะเร็งแพร่ไป เช่น อาการปวด ซึ่งอาจบรรเทาได้ด้วยการฉายรังสีรักษา เช่น

  1. การฉายแสงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อมะเร็งกระจายไปกระดูก
  2. การฉายแสงเพื่อบรรเทาภาวะเลือดออกจากก้อนมะเร็ง ในก้อนมะเร็งมีการสร้างเส้นเลือดผิดปกติทำให้มีเลือดออกได้ง่าย เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยมีปัสสาวะเป็นเลือดตลอดเวลา การฉายแสงที่ก้อนมะเร็งสามารถรักษาให้เลือดหยุดได้
  3. การฉายแสงเพื่อรักษาภาวะเร่งด่วนจากมะเร็ง (Emergency Radiotherapy) เมื่อมะเร็งลุกลามอาจไปกดบริเวณที่สำคัญมาก และหากรักษาล่าช้าไปอาจเกิดผลต่อ คุณภาพชีวิต ทำให้เกิดทุพพลภาพตามมาได้ เช่น ก้อนมะเร็งไปกดไขสันหลัง ทำให้ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงและไม่รู้สึก

เคมีบำบัด (Chemotherapy)

เป็นการรักษาด้วยสารเคมีที่มีผลทำลายเซลล์มะเร็งมากกว่าเซลล์ปกติ โดยที่กลไกการออกฤทธิ์ของยาเคมีบำบัดนั้นเป็นการขัดขวางการแบ่งเซลล์ ทำให้มีผลต่อเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งตัวเร็วกว่าเซลล์ปกติ

รักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างไร?

  • การรักษาหลัก

มะเร็งหลายชนิดแม้ว่าแพร่กระจายแล้ว ยังสามารถรักษาด้วยยาเคมีได้ เช่น มะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือเม็ดเลือดขาว เป็นต้น

  • การรักษาเสริม

การให้เคมีบำบัดเสริมหลังการผ่าตัด (Adjuvant Chemotherapy) เป็นการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมา โดยลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ และทำให้มีชีวิตได้ยาวนานขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ผ่าตัดเพียงอย่างเดียว เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนการให้เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด (Neoadjuvant Chemotherapy) เป็นการรักษาเพื่อให้ก้อนมะเร็งลดลง และทำให้การผ่าตัดได้ผลตามเป้าหมาย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งกระดูก เป็นต้น

  • การให้เคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสง (Concurrent Chemo-radiotherapy)

เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการฉายแสงให้มากขึ้น

  • การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ (Palliative Chemotherapy)

การใช้เคมีบำบัดควบคุม ยับยั้งมะเร็งที่กระจายไปอวัยวะอื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งผลการวิจัยทางการแพทย์รับรองวิธีการรักษาโรคด้วยสูตรยา หากผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการใช้ยาเคมีบำบัด การรักษานั้นสามารถช่วยผู้ป่วยได้ตามหลักฐานการวิจัย

 

ดังนั้นการความพร้อมของผู้ป่วยต่อผลการรักษามีความสำคัญมาก หากสภาพผู้ป่วยไม่เหมาะสมต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแล้ว จะเกิดผลข้างเคียงมากและเป็นอันตรายได้ และการรักษาในแต่ละบุคคลมีเหตุผลของการใช้ยาเคมีแตกต่างกัน เพราะโรคมะเร็งแต่ละชนิดมีการตอบสนองต่อยาแต่ละตัวไม่เหมือนกัน ยาที่แต่ละคนได้รับจึงไม่เหมือนกันในมะเร็งชนิดที่ต่างกัน บางคนได้ยาเคมีที่มีมูลค่าสูงมาก แต่อีกคนอาจได้ยาเคมีถูกมาก ซึ่งการได้ยาที่แพงกว่าไม่ได้หมายความว่า ยานั้นจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ายาเคมีที่ถูกกว่าเสมอไป ในมะเร็งบางชนิด ถ้าใช้ยาเคมีที่ราคาถูกก็อาจมีประสิทธิภาพที่ไม่ต่างจากยาที่แพง และยังคงเป็นมาตรฐานการรักษาเช่นกัน

ยาฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)

การใช้ยาฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy) มีกลไกการยับยั้งการทำงานในเซลล์ผ่านตัวรับฮอร์โมน หรือผ่านเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน การรับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก

ยาต้านมะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Cell Therapy)

เป็นการรักษาโรคมะเร็งแบบใช้ยาจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณระดับเซลล์ ส่งผลยับยั้งการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยอาจไปจับกับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์ หรือผ่านเข้าไปในผนังเซลล์เพื่อจับกับเป้าหมายภายในก็ได้ และเนื่องจากมะเร็งแต่ละชนิดมีเส้นทางที่ใช้ในการเจริญเติบโตของเซลล์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ยา Targeted Therapy แต่ละตัวจึงมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน เช่น ยาที่เป็นแอนติบอดีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์มะเร็ง ยาที่ไปยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต ยาที่ยับยั้งตัวรับ (Receptor) ที่อยู่บนผิวของเซลล์ ซึ่งทั้งหมดให้ผลการรักษาและการควบคุมโรคได้ดีกว่าการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบเดิม

การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

เป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ โดยการให้ยาไปกระตุ้นช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามีเซลล์ผิดปกติเหมือนเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นทุกวันแต่ด้วยกลไกของร่างกายทำให้เซลล์เหล่านั้นไม่กลายเป็นโรคมะเร็ง  เพราะเซลล์ผิดปกตินี้จะทำลายตัวเองหรือ หากหลุดรอดจากการทำลายตัวเองก็จะมีเซลล์ภูมิต้านทานในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมาทำลายเซลล์มะเร็งนี้  แต่การที่เรายังมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งได้นั้นเกิดจากเซลล์ที่ผิดปกติสามารถสร้างโปรตีนบางอย่างเพื่อพรางตัวเอง และหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้และทำให้เป็นโรคมะเร็งในที่สุด ปัจจุบันข้อมูลการวิจัยรับรองผลการรักษาด้วยยากลุ่มนี้ต่อชนิดโรคมะเร็งกำลังถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในหลายๆ ชนิดโรคมะเร็ง และกลายเป็นมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นๆ ด้วย

 

จะเห็นได้ว่าการรักษาโรคมะเร็งมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างมากในทุกๆ ด้าน เช่น การผ่าตัดก็มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดที่เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมะเร็งสูงขึ้น โดยมีแผลผ่าตัดที่เล็กลง ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้เร็วขึ้น, การฉายแสงรังสีรักษา เครื่องฉายรังสี ยุคใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยมีผลข้างเคียงน้อยลง ในส่วนของการพัฒนาคิดค้นยาเคมีบำบัด และกลุ่มยาต้านมะเร็งก็มีการคิดค้นยาชนิดใหม่ๆ ออกมามากขึ้น ทำให้การรักษาโรคมะเร็งมีทางเลือกมากขึ้นตามความเหมาะสมกับโรค และผู้ป่วยมากขึ้น

 

และที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการความก้าวหน้าในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน  ดังนั้นการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยประกอบการตัดสินใจการรักษาได้ดีที่สุด  ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งในปัจจุบันสามารถต่อสู้ และเอาชนะโรคมะเร็งได้นั่นเอง

นพ. วินัย พอล
อายุรแพทย์ด้านมะเร็ง
ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลพญาไท 3


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




Loading...