ถุงน้ำดี อวัยวะที่มีหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี เพื่อใช้ในการช่วยย่อยไขมัน และเมื่อสารประกอบในน้ำดีเกิดความไม่สมดุลกัน ก็จะทำให้เกิดตกตะกอนกลายเป็นก้อนนิ่ว ส่วนใหญ่พบโรคนี้ในผู้ที่อายุระหว่าง 40-60 ปี ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รักษาก็ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้ออักเสบของถุงน้ำดี และมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งถุงน้ำดี ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือรับการตรวจและรักษาให้ทันท่วงที
องค์ประกอบน้ำดีไม่สมดุล…ปัจจัยทำให้เกิด “นิ่วในถุงน้ำดี”
การที่องค์ประกอบน้ำดีไม่สมดุล เช่น สารประกอบบางชนิดมากหรือน้อยเกินไป เนื่องจากความผิดปกติของการเผาผลาญ หรือจากการติดเชื้อ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ แล้วใน “น้ำดี” มีสารประกอบอะไรอยู่บ้าง? เรามาดูกัน..
- น้ำ
- คอเลสเตอรอล
- ฟอสโฟลิพิด (Phospholipids) (ส่วนใหญ่จะเป็นเลซิติน)
- บิลิน (Bilin) หรือรงควัตถุน้ำดี (บิลิรูบินไดกลูโคโรไนด์ (bilirubin diglucoronoide))
- เกลือน้ำดี (โซเดียมไกลโคโคเลตและโซเดียมทอโรโคเลต)
- ไบคาร์บอเนตไอออน
กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ําดีได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
- เพศหญิงอายุมากกว่า 40 ปี
- คนในครอบครัวเคยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- มีน้ำหนักตัวมาก (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25) ในบางรายมีน้ำหนักลดลงมากในช่วงเวลาสั้นๆ
- มีบุตรหลายคน / ตั้งครรภ์
- ใช้ยาลดระดับคอเลสเตอรอล
- มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน
- รับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน
- พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีไขมันและมีแคลอรี่สูง กากใยอาหารน้อย
เสี่ยง “นิ่วในถุงน้ำดี” หรือไม่? ตรวจให้รู้ได้ด้วยวิธีนี้..
- ซักประวัติอาการและการตรวจร่างกาย
- ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ
- อัลตร้าซาวนด์ช่องท้องส่วนบน
- ส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography: ERCP) ซึ่งจะทำในกรณีที่สงสัยว่ามีนิ่วในท่อน้ำดี
- Magnetic Resonance Cholangiopancreatography หรือ MRCP เป็นการตรวจหาความผิดปกติของท่อทางเดินน้ำดีด้วยเครื่อง MRI
ซึ่งในการตรวจอัลตร้าซาวนด์แล้วพบว่ามีก้อนนิ่วในถุงน้ำดีนั้น สามารถแบ่งการรักษาออกเป็น 2 กรณีคือ..
- กรณี..ตรวจอัลตร้าซาวนด์พบก้อนนิ่วในถุงน้ำดี แต่ไม่มีอาการอื่นร่วม
หากแพทย์ตรวจพบก้อนติ่งเนื้อ แพทย์จะส่งวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น ส่งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ในกรณีที่ก้อนเนื้อมีขนาดเล็ก และคนไข้ไม่มีอาการอื่นๆร่วม แพทย์จะให้คนไข้มาพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นประจำอย่างน้อยทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี
- กรณี..ตรวจอัลตร้าซาวนด์พบนิ่วในถุงน้ำดี และมีอาการอื่นร่วม
โดยอาการร่วมที่พบบ่อย ได้แก่..
- ปวดท้องอย่างรุนแรงโดยเฉพาะบริเวณช่องท้องส่วนบนหรือด้านขวา โดยมีระยะเวลาปวดตั้งแต่ 15 นาทีถึงหลายชั่วโมง และอาจมีอาการปวดร้าวไปยังบริเวณกระดูกสะบักหรือบริเวณไหล่ด้านขวา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการทางระบบทางเดินอาหารอื่นๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แสบร้อนที่ยอดอก มีลมในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่หลังรับประทานอาหารมัน
- หากมีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะทำให้มีไข้ ปวดท้องใต้ชายโครงขวา และอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้มได้
แนวทางการรักษานิ่วในถุงน้ำดี
- การผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง (laparoscopic cholecystectomy)
- การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography: ERCP) ในกรณีที่มีนิ่วในท่อน้ำดีร่วมด้วย
- การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง
- การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านช่องคลอด (Trans Vagina Cholecystectomy)
ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง Vs ผ่าตัดส่องกล้อง มีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง | ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง | ผ่าตัดส่องกล้อง |
---|---|---|
ปริมาณการเสียเลือดขณะผ่าตัด | เสียเลือดมากกว่า | เสียเลือดน้อยกว่า |
ขนาดของแผล | 12 – 20 เซนติเมตร | ขนาด 6 – 8 มิลลิเมตร จำนวน 3 – 4 รู |
ความเจ็บปวดหลังผ่าตัด | มาก | น้อย |
เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล | นานกว่า | สั้นกว่า |
เวลาพักฟื้นที่บ้านจนไปทำงานได้ตามปกติ | 4 – 6 สัปดาห์ | 2 – 3 สัปดาห์ |
การดูแลตนเองหลังผ่าตัด
โดยทั่วไปเมื่อการผ่าตัดไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจนอนพักรักษาตัวใน 1-2 วัน และสามารถกลับบ้านไปพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ ในการผ่าตัดส่องกล้องซึ่งมีแผลขนาดเล็กที่ผนังหน้าท้อง 3-4 แผล การดูแลแผลจึงไม่ได้ยุ่งยาก ซึ่งบางรายใช้ผ้าปิดแผลชนิดกันน้ำไว้และมาพบแพทย์เพื่อดูแลแผลตามนัด