เคยไหม? ไอบ่อยจนรำคาญ กินยาแล้วก็ยังไม่หาย บางครั้งไอนานหลายสัปดาห์ หลายคนที่มีอาการแบบนี้อาจคิดว่าเป็นแค่การไอปกติทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว อาการไอที่เป็นอยู่นาน อาจเป็นอาการที่เรียกว่า “ไอเรื้อรัง” ซึ่งเป็นสัญญาณของการเกิดโรคมากมาย นพ.วินัย โบเวจา อายุรแพทย์ คลินิกอายุรกรรมโรคปอด โรงพยาบาลพญาไท 3 จะมาพูดถึงเรื่องนี้ให้ทราบกัน
อาการไอ เกิดจากอะไร?
อาการไอ เป็นการตอบสนองของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจ เช่น เชื้อโรค เสมหะ หรือฝุ่นควัน ร่างกายก็จะพยายามกำจัดทิ้งด้วยการไอออกมา ซึ่งส่วนมากการไอต่อเนื่องมักเป็นไม่เกิน 3-4 สัปดาห์ก็จะหาย หากบางกรณีที่ไม่ใช่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมที่กำจัดได้ด้วยการไอ เช่น อาจมีบางอยากไปกดทับที่บริเวณของเนื้อปอดหรือหลอดลมทำให้เกิดอาการไอ เช่น ก้อนเนื้อหรือมะเร็งปอด ทำให้ร่างกายนั้นพยายามจะขับออกมา แต่ไม่สามารถขับได้ จึงเป็นสาเหตุของอาการไอเรื้อรังที่ไม่หายไป
ภาวะ “ไอเรื้อรัง” คืออะไร?
ไอเรื้อรัง คือ การไอที่มีระยะเวลาติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ ภาวะไอเรื้อรังมีสาเหตุที่หลากหลาย อาจเกิดจากภาวะติดเชื้อ หรือภาวะที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ เช่น ภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ หอบหืด บางกรณีภาวะไอเรื้อรังอาจเกิดจากโรคอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ เช่น กรดไหลย้อน ภาวะหัวใจวาย ดังนั้นการหาสาเหตุของไอเรื้อรังอาจไม่ได้คำตอบในการพบแพทย์ครั้งแรก การวางแผนการวินิจฉัยและติดตามการรักษาจึงต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ไอแบบไหนควรพบแพทย์
- ไอติดต่อกันมากกว่า 8 สัปดาห์
- อาการไอรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
- อาการไอที่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดปน น้ำหนักลด เบื่ออาหาร หอบเหนื่อย อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก
- ไอมีเลือดปนเสมหะ
- ไอจากการที่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรคหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไต หัวใจ เมื่อมีอาการไอควรรีบมาพบแพทย์
ไอเรื้อรังอย่าปล่อยไว้!! เพราะอาจเป็นหนึ่งในอาการของโรคเหล่านี้
- วัณโรคปอด แม้ในระยะแรกจะไม่มีอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจะมีอาการไอเรื้อรัง มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย
- มะเร็งปอด เมื่อโรคเป็นมากขึ้น มีอาการไอเรื้อรัง บางรายอาจไอออกเป็นเลือดสด บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือมีไข้ร่วมด้วย
- ถุงลมโป่งพอง มักพบในคนที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน ผู้ป่วยมักมีอาการไอแบบมีเสมหะเรื้อรัง และหอบเหนื่อยง่าย มีหายใจเสียงดัง
- โรคหืด มักมีอาการไอ โดยเฉพาะเวลากลางคืน อากาศเย็น ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับขนาดหลอดลมฝอยว่าตีบมากหรือน้อย อาการมีได้ตั้งแต่หายใจไม่สะดวก ไอมาก หายใจดัง หอบเหนื่อย อาการมักจะกำเริบเมื่อติดเชื้อทางเดินหายใจร่วมด้วย
- โรคภูมิแพ้อากาศ มักมีอาการคันจมูก คันคอ ไอ จาม บางรายมีน้ำมูกใสๆ ร่วมด้วย มักมีอาการเมื่อสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ อากาศเย็น เป็นต้น
- กรดไหลย้อน มีอาการไอแห้งๆ โดยเฉพาะหลังอาหาร หรือเวลาล้มตัวลงนอน อาจจะมีอาการแสบร้อนในอกหรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
- ไซนัสอักเสบ มักจะมีอาการเป็นหวัดหรือโรคภูมิแพ้อากาศนำมาก่อน บางรายอาการหวัดอาจดีขึ้นในช่วงแรก แล้วแย่ลงภายหลัง มักไอเวลากลางคืนเพราะน้ำมูกไหลลงคอ
- ภาวะทางเดินหายใจไวต่อสิ่งกระตุ้น พบตามหลังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ คือเมื่ออาการหวัดหายแล้ว แต่ยังมีอาการไออยู่ โดยไอมากกลางคืนหรือเวลาอากาศเย็นๆ ถูกลม เป็นต้น
“ไอเรื้อรัง” รักษาได้…
การรักษาไอเรื้อรัง นอกจากจะรักษาตามสาเหตุของโรคแล้ว ยังต้องรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นควบคู่กัน ซึ่งนอกจากการซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อวินิจฉัยโรคแล้ว บางรายอาจต้องส่งตรวจยืนยันตามความเหมาะสม อาทิ ตรวจดูโพรงจมูก ลำคอ เอกซเรย์โพรงไซนัส เพื่อดูกลุ่มอาการไซนัส ส่งตรวจเอกซเรย์ปอด เพื่อดูความผิดปกติของปอด ตรวจเสมหะ ตรวจสมรรถภาพปอด เพื่อดูโอกาสของหอบหืด เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก กรณีที่ตรวจพบความผิดปรกติจาก X-ray ปอด อาจต้องทำการส่องกล้องทางเดินหายใจ (Fiber Optic bronchoscopy) เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
ส่องกล้องหลอดลมตรวจหาความผิดปกติอย่างแม่นยำ
ปัจจุบันการส่องกล้องตรวจหลอดลมได้มีการพัฒนาทั้งวิธีการและเครื่องมือ เพื่อช่วยให้แพทย์ได้ข้อวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ และปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยมากขึ้น การส่องกล้องตรวจหลอดลมนั้นเป็นการตรวจที่มีความปลอดภัย พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้น้อย
ข้อบ่งชี้ของการส่องกล้องหลอดลม
หมอขอแบ่งคนไข้เป็นสองกลุ่ม ในชีวิตจริงเพื่อให้เข้าใจง่าย
กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ไม่มีอาการ แต่เอกซเรย์ปอดพบความผิดปกติ เช่น เอกซเรย์ปอดพบความผิดปกติในรูปแบบ
- จุด (nodule)
- ก้อน (mass) ตอนเดียวหรือหลายก้อน
- ฝ้า (ground grass opacity )
- ปื้น ( consolidation)
ซึ่งต้องขอย้ำว่ากรณีที่ไม่มีอาการ แพทย์จะต้องอาศัยการซักประวัติ ประเมินความเสี่ยง ประวัติสูบบุหรี่ ประวัติครอบครัว ประวัติอาชีพ ประวัติการสัมผัสผู้ป่วยโรคปอด และตรวจร่างกาย เพื่อคาดคะเนความน่าจะเป็นของโรค และวางแผนการวินิจฉัย และติดตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องรับการส่องกล้องทุกราย แต่จะประเมินเป็นรายๆ ตามความเหมาะสมและข้อบ่งชี้
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่มีอาการหรือมีประวัติของโรคปอดและทางเดินหายใจอยู่เดิม แต่ไม่สามารถวินิจฉัยจากการตรวจเบื้องต้นได้ หรือรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เช่น กลุ่มอาการดังต่อไปนี้
- ไอเรื้อรัง เอกซเรย์ปอดพบภาวะหลอดลมตีบแคบ
- ไอเรื้อรัง
- ไอเป็นเลือด
- ไอมีเสียงดัง( stridor or wheeze)
- ปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ เป็นซ้ำๆ
- ปอดติดเชื้อ เป็นมากขึ้นแบบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ
- ปอดอักเสบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือทานยากดภูมิเป็นประจำ
- ประเมินระยะของโรคมะเร็งปอด
- ประเมินการแพร่กระจายของมะเร็งมาที่ปอด
- มีก้อนที่ปอดที่สงสัย มะเร็งปอด วัณโรคปอด หรือการอักเสบของปอด เป็นต้น
- สงสัยภาวะก้อนในหลอดลม ภาวะหลอดลมตีบแคบ หรือภาวะกระดูกอ่อนหลอดลมบกพร่อง
ขั้นตอนการส่องกล้องและดูแลผู้ป่วยขณะส่องกล้อง
ขณะทำการส่องกล้องตรวจหลอดลม ผู้ป่วยจะได้รับการพ่นยาชาบริเวณจมูกและลำคอซึ่งจะทำให้รู้สึกชาและกลืนลำบาก และระหว่างการส่องกล้องผู้ป่วยจะได้รับการวัดความดันโลหิต ชีพจรและระดับออกซิเจนในเลือดตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย การส่องกล้องนั้นส่วนใหญ่จะทำในท่านอนราบ ใส่สายให้ออกซิเจนทางจมูก มีผ้าคลุมตัวและปิดตาเพื่อป้องกันการเปื้อน ในบางกรณีอาจจะมีการให้ยานอนหลับทางเส้นเลือดดำก่อนการส่องกล้อง
แพทย์จะใส่กล้องสำหรับการตรวจเข้าทางจมูกข้างหนึ่งหรือทางปาก ผ่านลำคอและกล่องเสียงเข้าไปยังหลอดลม ซึ่งในขณะส่องกล้องผู้ป่วยอาจรู้สึกอึดอัดบ้าง และจะมีการพ่นยาชาผ่านทางกล้องเข้าไปในหลอดลมเป็นระยะ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการไอหรือสำลักได้เล็กน้อย โดยผู้ป่วยสามารถหายใจได้ตามปกติ จากนั้นจะได้รับยานอนหลับทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ระหว่างตรวจผู้ป่วยจะได้รับการให้ออกซิเจนตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
คนไข้บางรายอาจมีเลือดออกหลังทำการตัดชิ้นเนื้อ ภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอด ภาวะออกซิเจนในเลือดตํ่า ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น ซึ่งภาวะแทรกซ้อนของการส่องกล้องหลอดลมมักไม่รุนแรงและหายไปได้เอง เช่น เจ็บคอ ไอปนเลือด ภายหลังการส่องกล้องผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสังเกตอาการหากไม่มีความผิดปกติผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล และจะนัดมาฟังผลการตรวจตามขั้นตอนต่อไป
เตรียมตัวอย่างไร? ก่อนเข้ารับ “การส่องกล้อง”
- งดน้ำและอาหารทุกชนิดหลังเที่ยงคืนก่อนวันส่องกล้อง หรืออย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- ทําความสะอาดปากและฟันให้เรียบร้อย
- แจ้งประวัติการทานยากับแพทย์ เนื่องจากยาบางตัวต้องหยุดทานก่อนเข้ารับการส่องกล้อง
- วันส่องกล้องต้องพาญาติมาด้วย 1 ท่าน
ในอดีต การพิสูจน์สาเหตุของก้อนในปอด บ่อยครั้งจะต้องอาศัยการผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนี้อออกมา ซี่งจะสามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้ในการผ่าตัดคร้ังเดียว อย่างไรก็ตามการผ่าตัดเป็นหัตถการใหญ่ที่ต้องดมยาสลบ ผู้ป่วยต้องพักฟื้นนาน ซึ่งเป็นการเสียเนื้อปอดที่อาจหายได้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการทราบถึงสาเหตุของก้อนในปอดได้โดยใช้การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจด้วยกล้อง ทําให้ผู้ป่วยมีการเจ็บปวดหรือลําบากน้อยที่สุด และฟื้นตัวเร็วที่สุด จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
ปัจจุบันการส่องกล้องตรวจหลอดลมชนิดนี้ ได้มีการพัฒนาทั้งวิธีการและเครื่องมือ เพื่อช่วยให้หัตถการได้ข้อวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ และปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยมากขึ้น