“โรคหัดในเด็ก” เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปี ซึ่งโรคนี้หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อาจทำให้ได้รับอันตรายร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หลายครอบครัวไม่เคยทราบมาก่อนว่าเพราะอะไรเด็กๆ ถึงเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ได้ พญ.ฐิติอร นาคบุญนำ กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 3 จะมาพูดถึงโรคนี้ให้ได้ทราบกัน
“โรคหัด” หนึ่งในโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่ทำให้เด็กเสียชีวิตได้
โรคหัด คือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ที่เกิดจากไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อและติดต่อกันได้ผ่านทางอากาศหรือการสัมผัสน้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้ามาทางระบบทางเดินหายใจก่อน แล้วจึงแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กมากที่สุด แม้จะมีวัคซีนฉีดป้องกันโรคแล้วก็ตาม
มีไข้ อ่อนเพลีย มีผื่น อาจเป็นอาการของโรคหัด
โรคหัดเป็นการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ measles virus ซึ่งก่อโรคเฉพาะในคนเท่านั้น เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะทำให้มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ไอ น้ำมูก ตาแดงอักเสบ เมื่อตรวจร่างกายจะพบลักษณะผื่นจำเพาะบริเวณกระพุ้งแก้มด้านใน ที่เรียกว่า Koplik spot และจะมีผื่นจุดแดงตามตัว
ซึ่งระยะฟักตัวของโรคจะอยู่ที่ 7-21 วัน ส่วนใหญ่จะพบผื่นประมาณ 14 วัน หลังได้รับเชื้อ ผื่นจะเริ่มจากบริเวณศีรษะไปยังลำตัว แขน ขา ระยะแพร่เชื้อของผู้ป่วยเริ่มจาก 4 วันก่อนผื่นขึ้น และ 4 วันหลังจากผื่นขึ้น แต่บางครั้งในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจจะไม่พบผื่นก็ได้
อาการแทรกซ้อนที่มักเกิดกับโรคโรคหัด
โดยส่วนใหญ่แล้วอาการแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ท้องเสีย
- ในผู้ป่วย 1 ราย ต่อทุก 1,000 ราย จะมีอาการสมองอักเสบฉับพลัน
- อัตรา 1-2 : 1,000 ราย อาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ทางเดินหายใจและระบบประสาท
- พบภาวะ Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) ซึ่งพบได้น้อยมาก แต่โดยทั่วไปจะเกิดอาการ 7-10 ปี ตามหลังการติดเชื้อโรคหัด ทำให้มีปัญหาพฤติกรรมและสติปัญญาถดถอย ลดลง และชัก สมองเสื่อมถึงขั้นเสียชีวิตได้
ใครมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ทารกและเด็กเล็ก < 5 ปี
- ผู้ใหญ่ > 20 ปี
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว และผู้ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น
เมื่อสัมผัสผู้ป่วยโรคหัดต้องระวัง เพราะสามารถติดต่อกันได้
โรคหัดมีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูง 9 ใน 10 รายของผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย สามารถติดต่อทางการสัมผัสโดยตรง ละอองฝอย น้ำมูก น้ำลาย ไอจาม ซึ่งเชื้อหัดคงทนอยู่ในผิวสัมผัส สิ่งแวดล้อม อากาศได้นานถึง 2 ชั่วโมง หลังจากที่มีผู้ติดเชื้อแพร่ทิ้งไว้
ป้องกันได้ด้วยวัคซีนโรคหัด
โรคหัดป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งอยู่ในรูปวัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) เข็มแรกของวัคซีนสามารถป้องกันโรคหัดได้ประมาณ 93% หากได้รับสองเข็มจะมีประสิทธิภาพป้องกันได้ 97%
สำหรับตารางการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในประเทศไทย
MMR
- เข็มแรก 9-12 เดือน
- เข็มที่สอง 2 1/2 ปี – 6 ปี
-
- ให้วัคซีนครั้งแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือนขึ้นไป และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี ควรพิจารณาให้ฉีดเร็ว (อายุ 9 เดือน)ในพื้นที่ๆยังมีรายงาน โรคหัดจำนวนมากในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และควรฉีดช้า (อายุ 12 เดือน) ในพื้นที่ๆ มีรายงานโรคหัดจำนวนน้อยในเด็กต่ำกว่า 1 ปี
- การฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 อาจให้ได้ตั้งแต่อายุ 2 1/2 ปี ตามแผนปฏิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุข
- กรณีที่มีการระบาดหรือสัมผัสโรคอาจฉีดเข็มที่ 2 เร็วขึ้นก่อนอายุ 4 ปีได้ โดยต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน
การรักษาเป็นอย่างไร
สำหรับการรักษาโรคหัด เป็นโรคที่ไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะสำหรับโรคหัด โดยการรักษาแพทย์จะประคับประคองอาการทางการแทพย์ ช่วยบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน เป็นต้น
พญ.ฐิติอร นาคบุญนำ
กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ
ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 3
โทร.0-2467-1111 ต่อ 3419
เอกสารอ้างอิง
cdc.gov
ตารางวัคซีน สมาคมโรคติดเชื้อเด็ก ปี 2562