5 โรคระบาดในเด็ก อันตรายที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง

พญาไท 2

2 นาที

พฤ. 26/03/2020

แชร์


Loading...
5 โรคระบาดในเด็ก อันตรายที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง

ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เด็กเล็กๆ ที่ยังมีภูมิต้านทานไม่ดีนัก อาจทำให้เกิดโรคระบาดในเด็กได้ง่าย และอาการป่วยของเด็กก็มักจะรุนแรงและเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแลลูกน้อยเป็นพิเศษอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในเด็กได้

โรคมือ เท้า ปาก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Enterovirus (EV) หรือ Coxackie ซึ่งแพร่เชื้อออกมาในน้ำลายและอุจจาระผู้ป่วย การรับเชื้อสามารถรับผ่านทางปาก จากการปนเปื้อนเชื้อที่มือ ของเล่น น้ำ อาหาร โดยผู้ป่วยแพร่เชื้อได้  2-3 วัน ก่อนมีอาการจนถึง 1-2 สัปดาห์ หลังมีอาการจะพบเชื้อในอุจจาระได้หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน และหลังได้รับเชื้อ 3-6 วันจะปรากฏอาการ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

    • อาการที่สังเกตได้ คือ มีไข้, ผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปาก ลิ้น เหงือก  อาการจะหายไปเอง ภายใน 7-10 วัน  ผู้ป่วยอาจมีอาการแทรกซ้อนซึ่งพบได้น้อยมาก เช่น สมองอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ  ดังนั้นหากเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปากให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์
    • การรักษา โรคมือ เท้า ปาก รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ (paracetamol) เด็กบางคนมีแผลหลายแผลในปากรับประทานอาหารและน้ำได้ไม่เพียงพอ เด็กไม่ยอมกลืนน้ำลายและไม่ยอมให้ทำความสะอาดปากแผลในปากจะหายช้า อาจให้รับประทานยาชาก่อนอาหารประมาณ 10  นาที เพื่อไม่ให้เจ็บแผล ทำให้สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้  หรือหากเป็นมากขึ้นอาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
    • การป้องกัน ไม่สัมผัสใกล้ชิดเด็กที่ป่วย สอนเด็กล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และป้องกันการแพร่เชื้อโดยไม่ใช้อุปกรณ์และภาชนะในการรับประทานและดื่มน้ำร่วมกับผู้อื่น แยกเด็ก ไม่ควรพาไปเที่ยว อาจจะแพร่เชื้อไปสู่เด็กอื่นได้ เด็กวัยเรียน ควรหยุดเรียน 1 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มมีผื่น

โรคเฮอร์แปงไจนา (Herpangina)
เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มคอกซากีไวรัสกรุ๊ปเอ (Coxsackie viruses A sero type 1 – 10, 16 และ 22) และเอ็นเทอร์โรไวรัส (Enterovirus) โรคติดต่อได้จากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย  สารคัดหลั่ง และอุจจาระ  ของคนที่มีเชื้อ เพราะบางครั้งอาจสัมผัสแล้วนำมือเข้าปาก แล้วเผลอรับประทานเข้าไป สามารถทำให้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 3– 14 วัน ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อไปจนกว่าจะหายจากโรค คือ ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์นับจากติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้จะเป็นมากในเด็กที่อายุน้อยกว่า  10   ปี

    • อาการที่สังเกตได้ โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่อาจมีไข้เฉียบพลัน ไข้อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดตามตัว อาจมีอาเจียน และอาการเด่นคือจะมีอาการเจ็บบริเวณเพดานปากและคอนำมาก่อน ต่อมา(ภายใน 1 วัน) จะมีจุดแดงๆ บริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และอาจมีตุ่มแดงที่ทอนซิล หรือบริเวณในลำคอด้วยก็ได้ อาจเป็นแผลเล็กๆ ตรงกลางตุ่มน้ำนั้น หรืออาจมีการอักเสบรอบๆ แผลได้ จำนวน 5 – 10 ตุ่ม อย่างไรก็ตาม ไข้จะลดลงภายใน 2 – 4 วัน แต่แผลอาจคงอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์
    • การรักษา โรคเฮอร์แปงไจน่ารักษาตามอาการ ได้แก่ เช็ดตัวเพื่อช่วยลดไข้ ให้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส หรือยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะ) ยกเว้นในรายการที่สงสัยว่ามีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากพบอาการไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน หรือไข้สูง รับประทานอาหารและดื่มนมไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยลงและ ซึมลง ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์
    • การป้องกัน โรคเฮอร์แปงไจน่า ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเฮอร์แปงไจน่า วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาด ระวังการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก ข้าวของเครื่องใช้ของเด็กที่เป็นโรค ซึ่งรวมทั้งของเล่นต่างๆ ด้วย หากเด็กป่วยให้งดไปโรงเรียน 7 วัน

โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคภาวะติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่ 1,2,3 และ 4 โดยมี “ยุงลาย” เป็นพาหะนำโรค คือ  เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสไข้เลือดออกกัดคน จะถ่ายทอดเชื้อให้คนทำให้เกิดอาการ  ยุงลายนี้มักจะเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ หรือหลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น

    • อาการที่สังเกตได้ คือ มีอาการไข้สูงลอยอย่างต่อเนื่อง 39-41 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2-7 วัน, หน้าแดง ปวดศีรษะ  ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดกระบอกตา, เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือใต้ชายโครงขวา, มีเลือดออก เช่น จุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน  และในรายที่อาการรุนแรงอาจพบว่ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดเกิดขึ้น หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
    • การรักษา ไข้เลือดออกให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก, เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น เช็ดนาน 10-15 นาที การเช็ดตัวลดไข้จะทำให้ผู้ป่วยสบายตัวขึ้น, ให้รับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอล โดยควรรับประทานยาพาราเซตามอลห่างกันอย่างน้อย 4-6  ชม./ครั้ง และไม่ควรรับประทานยาแอสไพริน หรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟนเพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออก

ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย โดยให้จิบทีละน้อย ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว และรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง แตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันการสับสนว่าลูกอาเจียนเป็นเลือดหรืออาหาร ติดตามอาการ ตามคำแนะนำของแพทย์  โดยเฉพาะช่วง 3-5 วัน หลังจากเริ่มมีไข้

  • การป้องกัน ไข้เลือดออก ป้องกันได้โดยไม่ให้ยุงกัด การกำจัดยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ปิดภาชนะขังน้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงลายลงไปวางไข่, เปลี่ยนน้ำในแจกัน ถังเก็บน้ำ ทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรลูกน้ำที่จะกลายเป็นยุง, ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวร เช่น ปลาหางนกยูง ปลากัด ปลากระดี่, ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง โล่ง สะอาด ลมพัดผ่าน ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย และปฏิบัติเป็นประจำจนเป็นนิสัย

โรคอุจจาระร่วง
อาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย พบมากในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการเบื้องต้นท้องเสียมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน เมื่อเด็กมีอาการท้องเสียหรือมีอาเจียน เด็กจะมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ ฉะนั้นพ่อแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ควรรีบพบแพทย์ทันที

    • การรักษา โรคอุจจาระร่วง ไม่มียารักษาเฉพาะ แต่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ด้วยวิธีรักษาตามอาการ หากเด็กกินไม่ได้ ต้องให้น้ำ/เกลือแร่ทดแทนทางหลอดเลือดดำ เมื่อมีไข้ รักษาอาการไข้โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้  หากปวดท้องหรือท้องอืด ควรให้ยาขับลม หากเด็กหยุดอาเจียน ให้รับประทานข้าวต้มหรือโจ๊กได้
    • การป้องกัน หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่หรือเจลล้างมือ กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน และรับประทานอาหารที่ปรุง “สุก ร้อน สะอาด”

ปัจจุบันโรคท้องเสียที่เกิดจากไวรัสโรต้ามีวัคซีนในการป้องกัน ชนิดหยอดที่ใช้ได้เฉพาะในเด็กเล็กเท่านั้น ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ลดความรุนแรงของโรค และมีความปลอดภัยสูง โดยจะเริ่มหยอดครั้งแรกในเด็กที่มีอายุเกิน 6 สัปดาห์ ขึ้นไปและจะให้ครั้งต่อไปห่างจากครั้งแรก 4 สัปดาห์ โดยหยอดทางปาก 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน สำหรับเด็กโตให้เน้นด้านการรักษาสุขอนามัยส่วนตัว

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส เมื่อเด็กติดเชื้ออาจมีอาการไข้สูง ซึม ชักเกร็ง แขนขาอ่อน พ่อแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเพราะเด็กเล็กไม่สามารถบอกอาการได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์

เนื่องจากเชื้อนิวโมคอคคัสแพร่กระจายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ฉะนั้นจึงควรเลี่ยงพาเด็กไปในที่แออัด หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากากอนามัย และฉีดวัคซีนเสริมภูมิต้านทาน โดยฉีดเมื่ออายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน, ถ้าเริ่มฉีดในเด็กอายุ 7-11 เดือน ให้ฉีดสองครั้งห่างกันสองเดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน, ส่วนเด็กอายุ 1-5 ปีที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้ ให้ฉีดครั้งเดียว ยกเว้นในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรง โดยให้ฉีดสองครั้งห่างกันสองเดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2
โทร 02 617-2444 ต่อ 3219-3220


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...