โรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่พบได้บ่อย และก่อให้เกิดความรำคาญและทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้องเป็นๆ หายๆ ในบางรายอาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อน เช่น การตกเลือดในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะทะลุ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยบริเวณที่พบอาจเกิดแผลในกระเพาะ (Gastric Ulcer) หรือแผลบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer) และด้วยสาเหตุการเกิดโรคที่คล้ายกัน จึงมักจะเรียกรวมๆ กันว่า “โรคแผลในกระเพาะอาหาร” (Peptic Ulcer)
สาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโรไล (H.pylori) เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร คิดเป็นสัดส่วน 60% ของสาเหตุทั้งหมด
- กรดในกระเพาะมากขึ้นทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ง่าย
- การทำลายเยื่อบุกระเพาะ เช่น จากยาแอสไพริน ยาแก้ปวดกระดูก หรือการดื่มสุรา
อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอกหรือลิ้นปี่
- มีอาการจุก เสียด แน่น เจ็บแสบหรือร้อน อาการจะสัมพันธ์กับการกินหรือชนิดของอาหาร บางรายอาจมีอาการปวดท้องตอนกลางคืน
- ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการโรคแทรกซ้อน เช่า อาเจียนเป็นเลือด
แบคทีเรียร้ายในกระเพาะอาหาร เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor pylori) คืออะไร
- เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มีความทนกรดสูง จึงสามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้
- สามารถสร้างสารพิษไปทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- การศึกษาวิจัยจากสมาคมแพทย์และองค์การอนามัยโลกพบว่าเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ เป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen group1) ทำให้ผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งของกระเพาะอาหาร มากกว่าคนปกติ 3-6 เท่า
การตรวจหาเชื้อ Helicobactor Pylori สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
- โดยวิธีการส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy)
- การตรวจหา H. Pylori โดยตรวจสอบจากลมหายใจ
- การตรวจเลือด เพื่อหาภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ
จากการวิจัยขององค์การอาหารและยา พบว่าประสิทธิภาพของการตรวจแต่ละวิธี แตกต่างกันดังนี้
วิธีการตรวจ | การส่องกล้อง –ตัดชิ้นเนื้อ | การหาภูมิคุ้มกัน | การตรวจลมหายใจ |
---|---|---|---|
Sensitivity | 95.4% | 95.7% | 98.8% |
Specificity | 100% | 100% | 100% |
Accuracy | 96.6% | 91.8% | 99.1% |
วิธีการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
- การรับประทานยายับยั้งการหลั่งกรด นาน 6-8 สัปดาห์ ร่วมกับยาปฎิชีวนะ นานถึง 1-2 สัปดาห์
- หลังจากหยุดยา 4 สัปดาห์ ให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร อีกครั้งหนึ่ง
ขั้นตอนการตรวจ – รักษา โดยรวม
- หาสาเหตุการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ตัดชิ้นเนื้อ → ตรวจสอบลมหายใจ → หาภูมิคุ้มกัน
- หากตรวจพบการติดเชื้อ รักษาด้วยยาลดกรดและยาปฎิชีวนะ
- กลับมาตรวจซ้ำ เพื่อยืนยันการรักษา
หลักการสำคัญของการตรวจเชื้อ H.Pylori ในกระเพาะอาหาร ด้วยการทดสอบลมหายใจ
เชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (H.Pylori) สามารถผลิตเอนไซม์ Urea ได้ ดังนั้นการวินิจฉัยจึงให้ผู้ป่วยรับประทานยา Urea ที่เคลือบ 13C หากผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อ H.Pylori จะเกิดการย่อยเม็ดยา ได้แอมโมเนีย (NH3) ออกมากับปัสสาวะ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (13CO2) ออกมากับลมหายใจ โดยโรงพยาบาลจะเก็บตัวอย่างลมหายใจของผู้ป่วยเพื่อนำไปวิเคราะห์ผลต่อไป
การตรวจหาการติดเชื้อ Helicobacter Pylori ในกระเพาะอาหาร โดยวิธี 13 C-Urea Breath Test
การเตรียมตัวผู้ป่วย
- งดอาหารและเครื่องดื่ม ก่อนการตรวจอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะอาหารว่าง
- งดอาหารที่มีสารยูเรีย (urea) เช่น แอลกอฮอล์ น้ำอ้อย น้ำสับปะรด
- งดการสูบบุหรี่
- งดยาฆ่าเชื้อ (antibiotics) และ ยาลดการหลั่งกรดกลุ่ม PPI (เช่น omeprazole, esomeprazole , dexlanzoprezole) และยาลดการหลั่งกรดกลุ่ม P-CABs (เช่น vonoprazan) ก่อนการตรวจอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือตามคำสั่งแพทย์
ขั้นตอนในการตรวจ13 C-Urea Breath Test
- เป่าลมหายใจ ลงในถุงตัวอย่าง (Bag no.1) ก่อนทานเม็ดยา UBiT จนเต็มถุง
- กลืนเม็ดยา UBiT (ภายใน5วินาที) พร้อมดื่มน้ำ 1 แก้ว (100 มิลลิลิตร) ห้ามเคี้ยวหรืออมเม็ดยา
- นอนตะแคงด้านซ้าย เป็นเวลา 5 นาที
- เปลี่ยนเป็นท่านั่ง เป็นเวลา 15 นาที
- เมื่อครบ 20 นาที หลังทานเม็ดยา UBiT แล้วเป่าลมหายใจลงในถุงตัวอย่างใบที่2 (Bag no.2) จนเต็ม
- เก็บถุงตัวอย่างทั้งสองใบส่งให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อดีของการใช้ 13 C-Urea Breath Test
- ผู้ป่วยไม่เจ็บปวด
- มีความแม่นยำ 98%
- เป็นการตรวจหา H.Pylori
- เม็ดยา Urea ที่เคลือบด้วย 13C ไม่เป็นสารกัมมันตภาพรังสี
- ปลอดภัยทั้งผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่
- ไม่เหลือสารตกค้างในร่างกาย
- ลดการติดเชื้อเนื่องจากถุงเก็บตัวอย่างเป็นชนิด Disposable
- การวิเคราะห์ผลง่าย และรวดเร็ว 30 นาที สามารถทราบผล
ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลพญาไท 2 ชั้น 4 อาคารA
โทร 02-617-2444 ต่อ 7401, 7406