ไขข้อข้องใจ..โรคแพ้โปรตีนนมวัวและการย่อยแลกโทสบกพร่อง ต่างกันอย่างไร?

พญาไท 3

2 นาที

พ. 01/04/2020

แชร์


Loading...
ไขข้อข้องใจ..โรคแพ้โปรตีนนมวัวและการย่อยแลกโทสบกพร่อง ต่างกันอย่างไร?

“นมแม่” เป็นอาหารเพียงอย่างเดียวของทารกอายุก่อน 6 เดือน ในน้ำนมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด ในปริมาณที่เหมาะสำหรับทารก แต่ในทารกบางรายที่มีความจำเป็นต้องได้รับนมวัวเสริม และในเด็กโตรวมถึงผู้ใหญ่ นมวัวยังเป็นอาหารที่ให้โปรตีน แคลเซียม วิตามิน เพื่อช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง แต่ในบางรายเมื่อทานนมกลับมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ไม่ใช่ทุกอาการจะเกิดจากการแพ้นมวัว อาจเป็นแค่อาการไม่พึงประสงค์หลังการรับประทานนมวัวเท่านั้น

 

บทความนี้จะมาอธิบายข้อแตกต่างของโรคแพ้โปรตีนนมวัว(แพ้นมวัว) และการย่อยแลกโทสบกพร่องซึ่งไม่ใช่การแพ้นมวัว แต่สามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติหลังการรับประทานนม ให้ได้ทราบกัน…

 

การย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose intolerance)

จริงๆ แล้ว ภาวะนี้ไม่ใช่การแพ้นม แต่เป็นอาการอันไม่พึงประสงค์หลังการรับประทานนม(Adverse food reaction) เท่านั้น เกิดจากการที่ร่างกายย่อยน้ำตาลแลกโทสในนมผิดปกติ น้ำตาลแลกโทส (lactose) เป็นน้ำตาลที่มีมากในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยในน้ำนมคนมีสูงถึงร้อยละ 7 น้ำนมวัวแพะแกะอูฐมีร้อยละ 4 โดยน้ำตาลชนิดนี้มีโมเลกุลใหญ่ก่อนจะถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวเยื่อบุผนังลำไส้ต้องผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์แลกเทส (lactase) ซึ่งน้ำย่อยนี้สร้างจากเยื่อบุผนังลำไส้เล็กเท่านั้น โดยปกติในทารกซึ่งทานนมเป็นอาหารหลัก จะมีปริมาณน้ำย่อยแลกเทสมาก แต่เมื่อโตขึ้นทานข้าวเป็นอาหารหลักร่างกายจะสร้างน้ำย่อยแลกเทสลดลง แต่ยังเพียงพอสำหรับการย่อยจึงไม่เกิดอาการผิดปกติต่างๆ

 

ในคนที่มีภาวะการย่อยแลกโทสบกพร่อง เนื่องจากเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กสร้างเอนไซม์แลกเทสน้อยลง หรือไม่สร้าง เรียกว่าภาวะขาดเอนไซม์แลกเทส (Lactase deficiency) ซึ่งผู้ที่มีภาวะนี้ หลังการรับประทานนมจะมีอาการดังนี้

  • อืดแน่นท้องจากก๊าซ ผายลมบ่อย มีเสียงลมในท้อง
  • ปวดท้องแถวสะดือ หรือท้องน้อย
  • คลื่นไส้อาเจียน มักพบในเด็กโตและวัยรุ่น
  • ถ่ายเหลวเป็นน้ำ และมีฟอง

 

สาเหตุของภาวะขาดเอนไซม์แลกเทส แบ่งเป็น 3 กลุ่ม

  1. ภาวะขาดเอนไซม์แลกเทสแต่กำเนิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
  2. ภาวะพร่องเอนไซม์แลกเทสจากความผิดปกติทางพันธุกรรม (Late onset lactase deficiency, Primary lactase deficiency) เป็นภาวะที่พบบ่อยในชาวเอเชีย อเมริกาใต้ อัฟริกัน และอินเดียนแดง โดยมักจะแสดงอาการในเด็กโตและผุ็ใหญ่ เนื่องจากในทารกจะยังมีน้ำย่อยแลกเทสสูง แต่น้ำย่อยจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะทานนมและอาหารที่มีนมผสมอย่างต่อเนื่อง จึงไม่สามารถย่อยแลกโทสได้เพียงพอจนเกิดอาการผิดปกติ
  3. ภาวะพร่องเอนไซม์แลกเทสจากสาเหตุอื่น (Secondary lactase deficiency) เป็นภาวะที่พบตามหลังการติดเชื้อ หรือการอักเสบเรื้อรังของลำไส้เล็ก ตัวอย่างเช่นภายหลังการติดเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งพบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า5ปี โดยไวรัสโรต้าจะทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กทำให้เซลล์ตายลอกหลุดไป จึงสร้างเอนไซม์แลกเทสไม่เพียงพอจึงเกิดภาวะพร่องเอนไซม์แลกเทส ซึ่งเมื่อหายจากโรคและเยื่อบุลำไส้ซ่อมแซมแล้ว การย่อยแลกโทสจะกลับสู่ภาวะปกติได้

 

วินิจฉัยภาวะการย่อยแลกโทสบกพร่องอย่างไร?

  • วิธีตรง โดยการวัดเอนไซม์แลกเทสที่เยื่อบุผิวลำไส้ โดยการใส่สายสวนลำไส้ที่มีแคปซูลตัดเยื่อบุลำไส้ออกมาวัดปริมาณเอนไซม์แลกเทส
  • วิธีอ้อม โดยการวัดระดับ hydrogen ในลมหายใจ หรือทำการทดสอบด้วยตนเอง โดยการสังเกตอาการหลังกินนม  ทำได้ที่บ้านโดยการอดอาหารตลอดคืน ตอนเช้าให้กินนมแก้วใหญ่ (300-500 มล.) และงดอาหารต่อไปอีก 3-4 ชั่วโมง สังเกตและบันทึกอาการ  อาการอาจเกิดขึ้นเร็วหลังกินนม 1 ชั่วโมงหรือใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมง

 

การรักษาภาวะการย่อยแลกโทสบกพร่อง

สำหรับการรักษานั้นในรายที่มีภาวะขาดเอนไซม์แลกเทสแต่กำเนิดหรือมีความผิดปกติทางพันธุกรรม อาจจำเป็นต้องให้น้ำย่อยแลกเทสสังเคราะห์ ร่วมกับงดบริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์ของนมที่มีน้ำตาลแลกโทส

 

ในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แลกเทสชั่วคราว แนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินนมที่มีน้ำตาลแลกโทส หรือกินนมสูตรเดิมปริมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยกินอยู่ แล้วค่อยๆเพิ่ม ในรายที่มีอาการมากควรเลือกกินนมสูตรนมถั่ว นมวัวสูตรแลกโทสฟรี หรือ โยเกิร์ตซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นมที่ได้เติมจุลินทรีย์ที่ได้ย่อยแลกโทสไปบางส่วนแล้ว

 

ในทารกที่ทานนมแม่ให้มารดาปั๊มนมส่วนหน้าที่มีน้ำตาลแลกโทสสูงออกก่อน และให้ทานนมส่วนหลังเมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยกินนมสูตรปกติแต่ให้กินปริมาณน้อยๆก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มเพื่อให้ลาไส้ปรับตัว

 

รู้จักโรคแพ้โปรตีนนมวัว (Cow milk protein allergy)

โรคแพ้โปรตีนนมวัว เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัว ผ่านกลไกการแพ้ได้หลายทาง แสดงอาการได้หลายระบบ และระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นกับกลไกการแพ้และระดับความรุนแรงในแต่ละราย อาการแพ้ที่เกิดขึ้นหลังได้รับนมวัว โดยเริ่มแสดงอาการได้ภายใน 1-3ชม. เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์หลังรับประทาน ในทารกที่ทานนมแม่อย่างเดียว พบการแพ้โปรตีนนมวัวผ่านนมแม่ได้เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินอาหารในทารก ยังไม่สมบูรณ์

 

อาการและอาการแสดงโรคแพ้โปรตีนนมวัวแบ่งตามระบบ ดังนี้

  1. ผิวหนัง : ผื่นลมพิษ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบวมแบบเฉียบพลัน ผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
  2. ระบบทางเดินหายใจ :น้ำมูกไหล ไอแห้ง คัดจมูก นอนกรน หายใจเสียงหวี๊ด หอบ, Heiner syndrome
  3. ระบบทางเดินอาหาร : ริมฝีปากบวม อาเจียน ถ่ายเหลวเฉียบพลัน ถ่ายมีมูกเลือดเรื้อรัง
  4. อาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันทั่วตัว (Anaphylaxis)

 

การวินิจฉัยโรคแพ้โปรตีนนมวัว

  • การซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคแพ้โปรตีนนมวัว
  • การทดสอบดูการตอบสนองของผู้ป่วยหลังงดและทานนมวัว (oral food challenge) ในทารกที่ทานนมมารดาให้มารดางดนมวัว หรือผู้ป่วยงดนมวัว ถ้าอาการดีขึ้นหลังงดนมวัว ให้ทดสอบโดยทานนมวัวอีกครั้งในเวลา 4-8 สัปดาห์ต่อมา
  • การตรวจทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) หรือ การตรวจเลือดหาภูมิต้านทานต่อโปรตีนนมวัว (cow’s milk protein-specific IgE) ไม่ตรวจในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยโรคแพ้โปรตีนนมวัว เนื่องจากการทดสอบจะให้ผลบวกในผู้ป่วยบางรายเท่านั้นขึ้นกับกลไกที่ก่อให้เกิดการแพ้

 

โรคแพ้โปรตีนนมวัวรักษาอย่างไร?

การรักษาประกอบด้วยการรักษาตามอาการแสดงต่างๆ ร่วมกับการรักษาด้านโภชนาการซึ่งควรได้รับคำแนะนำโดยแพทย์

  1. ให้อาหารที่ไม่มีนมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัวเป็นส่วนผสม
  2. ให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัย
  3. หลังจากผู้ป่วยมีอายุครบ 1 ปี และอาการดีแล้วอย่างน้อย 6 เดือน อาจพิจารณาทำการทดสอบดูการตอบสนองของผู้ป่วยหลังงดและทานนมวัว (oral food challenge) ทุก 6 เดือน
  4. การเลือกนมเพื่อรักษาโรคแพ้โปรตีนนมวัวในทารก ขึ้นกับอายุ ลักษณะการแพ้และระดับความรุนแรงของอาการ
    • ทารกและเด็กเล็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว
      • ให้นมแม่ต่อไปและให้แม่งดนมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัว และอาหารที่มีโปรตีนจากนมวัว
      • ดูแลให้แม่ได้รับแคลเซียมให้เพียงพอ (800 มก./วัน)จากอาหารอย่างเดียวหรือเสริมยาเม็ดแคลเซียม
      • ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้พิจารณาทบทวนการวินิจฉัยโรคอื่น หรือผูเป่วยอาจแพ้อาหารชนิดอื่นด้วย
      • กรณีมารดาไม่สามารถงดนมวัวได้ อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยรับประทานนมสูตรสำหรับรักษาโรคแพ้โปรตีนนมวัว
    • ทารกและเด็กที่เลี้ยงด้วยนมผสม
      • เลือกนมที่ไม่มีโปรตีนนมวัวทดแทนนมผสมที่ทารกและเด็กได้รับ โดยพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย ค่าใช้จ่าย การเข้าถึงนม และรสชาติ

 

แพ้นมวัวส่วนใหญ่จะหายได้เอง

โดยปกติแล้วการแพ้โปรตีนนมวัว ส่วนใหญ่เกิดในช่วง 1 ขวบปีแรก และอาการจะดีขึ้นจนหายขาดเมื่อเด็กโตขึ้น โดยหายถึงร้อยละ 81-95 เมื่ออายุ 5 ปี นอกจากนี้การแพ้โปรตีนนมวัวอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น โรคหืด โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น

เอกสารอ้างอิง
1. ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคทางเดินอาหารและโรคตับในเด็กแห่งประเทศไทย ชมรมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคแพ้โปรตีนนมวัว (COW Milk Protein Allergy).
2. ศาสตราจารย์ พญ. วันดี วราวิทย์. บทความปริทัศน์: การย่อยแลกโทสบกพร่อง. 12 สิงหาคม 2555.
http://www.pthaigastro.org/Document/rf0qed550cxcpq45jtxtsn45Lactose_Intolerance.pdf


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...
Loading...