โรคไมเกรน จะมีลักษณะเฉพาะ คือ มีอาการปวดตุ้บๆ เป็นจังหวะ มีคลื่นไส้ อาเจียน และเมื่อเจอแสงแดด อากาศร้อน หรือปัจจัยกระตุ้น ก็จะทำให้อาการปวดหัวแย่ลง ซึ่ง “การทานยาไมเกรน” เป็นวิธีการลดอาการไมเกรนที่เป็นที่นิยม แต่รู้หรือไม่ว่า การทานยาไมเกรนโดยไม่ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด หรือไม่ผ่านการสอบถามจากเภสัชกรหรือแพทย์ ก็อาจส่งผลข้างเคียงที่อันตรายร้ายแรงได้
อาการปวดไมเกรน…มักเกิดจากปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้
- ภาวะความเครียด
- แสงแดด
- อากาศที่เปลี่ยนแปลง
- กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
- ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงมีประจำเดือน
- อาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต ชา หรือกาแฟ
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
ยารักษาโรคปวดหัวไมเกรน มี 2 กลุ่มหลักๆ คือ
- ยาที่ทานเฉพาะเวลาปวดหัว
- ยากลุ่มที่สามารถรักษาอาการปวดหัวจากโรคไมเกรน และอาการปวดจากโรคอื่นได้ด้วย เช่น ยาพาราเซตามอล ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูพรอเฟน (Ibuprofen) เป็นต้น
- ยากลุ่มที่ใช้รักษาเฉพาะอาการปวดหัวจากไมเกรน ได้แก่ ยากลุ่มทริปแทน (Triptan) ยาที่มีส่วนผสมของเออโกทามีน (Ergotamine)
- ยาป้องกันอาการปวดหัวจากไมเกรน คือ ยาที่รับประทานทุกวันเพื่อลดความถี่ของอาการปวดหัวจากไมเกรน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ เช่น ยาลดความดันบางตัว หรือยากันชักบางตัว เป็นต้น
ข้อควรระวังในการรับประทานยาไมเกรน
- การที่ผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวดบ่อยๆ อาจทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า Medication-overuse headache ซึ่งทำให้เมื่อผู้ป่วยทานยาแก้ปวดแล้วอาการปวดหัวไม่ดีขึ้นแต่กลับแย่ลง
- ยารักษาอาการปวดหัวจากไมเกรนในแต่ละกลุ่มยา มีข้อควรระวังแตกต่างกันไป เช่น ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ยาที่มีส่วนผสมของเออโกทามีน (Ergotamine) หากรับประทานร่วมกับยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดหดตัว หรือมีอาการบิดเกร็งและกระตุกได้
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคไมเกรน
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การเลือกที่จะรับประทานยาเองนั้น เราจำเป็นต้องค้นหาข้อมูลยา ผลข้างเคียงของยาก่อนที่จะรับประทาน หากเป็นไปได้โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวควรสอบถามเภสัชกร หรือพบแพทย์เพื่อเลือกกลุ่มยาที่เหมาะสมสำหรับอาการปวดหัวของผู้ป่วยโดยที่เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด