อาการ ‘ท้องเสีย’ นับว่าเป็นหนึ่งในภาวะที่แทบทุกคนจะต้องเคยเป็น ซึ่งในบางครั้งอาการท้องเสียก็จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปได้เอง แต่ในบางครั้งก็มีอาการติดต่อกันหลายวันกว่าจะหายและจำเป็นต้องได้รับการรักษา
ซึ่งความน่ากังวลสำหรับโรคท้องเสียหรือท้องร่วง ก็คือการปล่อยให้มีอาการเรื้อรังนานเกินไปจนร่างกายมีภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ หรือมีไข้สูง ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะช็อกได้ เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำความเข้าใจว่า อาการแบบไหนที่เรียกว่าแค่ถ่ายท้องหรือท้องเสียธรรมดาๆ และแบบไหนที่เข้าข่ายท้องเสียหนักหรือท้องเสียผิดปกติ เพื่อนำไปสู่การดูแลรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
ลักษณะการขับถ่ายแบบนี้…คือ “ท้องเสียผิดปกติ”
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะแยกอาการท้องเสีย กับอาการถ่ายท้องปกติได้ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม อาการท้องเสียนั้นมีจุดสังเกตหลายอย่างที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
- อุจจาระมีลักษณะเหลว หรือถ่ายออกเป็นน้ำ
- ถ่ายท้องต่อเนื่อง มากกว่าวันละ 3 ครั้ง
- มีอาการปวดท้องเกร็งที่รุนแรงกว่าปกติ
- รู้สึกอ่อนเพลีย และเหมือนมีไข้อ่อน ๆ
หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า คุณกำลังเผชิญกับอาการท้องเสียชนิดเฉียบพลัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่หากมีอาการท้องเสียต่อเนื่องนานเกินกว่า 3-14 วัน ควรพบแพทย์ เพราะอาจมีสาเหตุของโรคอื่นที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรัง เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องตรงโรคต่อไป
อาการท้องเสีย เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ?
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต หรือเชื้อไวรัส หรือแม้กระทั่งมือของเราเองที่ผ่านการสัมผัสสิ่งของสกปรกมาก่อน แล้วเผลอหยิบอาหารเข้าปาก
นอกจากนี้ อาการท้องเสียอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มากเกินไป หรือการแพ้อาหารบางชนิด และในบางรายอาจมีอาการท้องเสียหลังการรักษา เช่น ได้รับยาปฏิชีวนะบางชนิดที่มีผลต่อระบบการทำงานของลำไส้ หรือได้รับการฉายรังสีที่ทำให้เยื่อบุลำไส้เสียหายจนลำไส้ไม่สามารถดูดซึมน้ำและสารอาหารได้ตามปกติ
การป้องกันและแนวทางรักษาอาการท้องเสีย
เราสามารถป้องกันและดูแลตัวเองจากโรคท้องเสียได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ทุกครั้ง
- ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังทำกิจกรรมต่างๆ ทุกครั้ง
- เลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทหมัก ดอง ที่ไม่มั่นใจเรื่องคุณภาพและความสะอาด เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน
- เมื่อเกิดอาการท้องเสียควรดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
- รับประทานยาบรรเทาอาการท้องเสีย (Diosmectitie) ซึ่งจะช่วยยับยั้งเชื้อ แบคทีเรีย และบรรเทาอาการท้องเสียได้
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ซุป เลี่ยงอาหารที่มีรสจัด ของหมักดอง และอาหารที่มีไขมันสูง
อย่างไรก็ตามหากเวลาผ่านไป 3 วันแล้วอาการท้องเสียไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย ริมฝีปากแห้ง เวียนศีรษะ มีเลือดปนในอุจจาระ หรือมีเลือดปนในอาเจียน ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาทันที โดยไม่ควรรอให้อาการท้องเสียนั้นหายไปเอง เพราะอาจมีแนวโน้มของโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคสำไส้อักเสบ มีอาการตอบสนองต่อยาบางประเภทที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือติดเชื้อไวรัสโรต้า เป็นต้น