โรคไวรัสตับอักเสบ บี เป็นโรคซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อโดยการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อผ่านทางผิวหนังที่มีบาดแผล การใช้ของส่วนตัวที่ปนเปื้อนเลือด หรือสารคัดหลั่งร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และจากมารดาสู่ทารก ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้จะกลายเป็นพาหะของโรค และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับได้
อาการบ่งชี้…เข้าข่าย “โรคไวรัสตับอักเสบ บี”
มีไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บชายโครง ตัวเหลือง ตาเหลือง หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้จะกลายเป็นพาหะของโรค ซึ่งนอกจากจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้แล้ว ยังมีโอกาสเกิดภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับได้
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี
ทำมาจากโปรตีนผิวนอกของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 ครั้ง ที่ 0, 1, 6 เดือน
ผู้ที่ “ควร” เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี
- ผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคไวรัสตับอักเสบ บี
- เด็กแรกเกิดในประเทศไทยทุกคน รวมถึงเด็กที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้มาก่อน
- ผู้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสโรค เช่น คู่สมรสของผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ที่ต้องได้รับเลือดบ่อยๆ ผู้ป่วยฟอกไต บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ใช้ยาเสพติด ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไตเรื้อรัง
- นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปยังประเทศที่เป็นแหล่งระบาด หรือมีความชุกของโรคสูง
- ในเด็กโตที่อายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ควรตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนนี้ เพื่อดูว่ามีภูมิคุ้มกันอยู่ก่อนการฉีดวัคซีนหรือไม่ เนื่องจากบางรายอาจเคยติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ผู้ที่ “ควรงด” รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี
- เคยมีประวัติแพ้วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ในครั้งก่อน หรือแพ้ต่อส่วนผสมต่างๆ ในวัคซีน
- หากมีไข้ หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
- กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังรับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี
- วัคซีนอาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ แต่อย่างไรก็ตาม อาการแพ้อย่างรุนแรงจากวัคซีนพบได้น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่มีปัญหาใด ๆ
- ปฏิกิริยาที่อาจพบหลังจากฉีด ได้แก่ ไข้ต่ำๆ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีน ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน
- อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ ปวดเมื่อย เพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ข้ออักเสบ ผื่นที่ผิวหนัง และมี transaminase เพิ่มขึ้นชั่วคราว
- หากมีอาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดวัคซีนให้ประคบเย็น แต่ถ้ามีอาการผิดปกติอื่นนอกเหนือจากนี้ควรปรึกษาแพทย์
หมายเหตุ :
- ในปัจจุบัน ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับการใช้วัคซีนในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร อย่างไรก็ตามเนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย จึงอาจพิจารณาให้วัคซีนได้ ในกรณีที่มีความจำเป็น และคาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- พบผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่ไม่มีการตอบสนองสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ ร้อยละ 1-3
- โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือด เพื่อดูภูมิคุ้มกันภายหลังการฉีดวัคซีน เว้นแต่ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น ผู้ป่วยฟอกไต ซึ่งหากพบไม่มีภูมิคุ้มกันตอบสนอง ควรพิจารณาฉีดวัคซีนซ้ำ
- สำหรับผู้ที่มีอายุ 8-65 ปี สามารถใช้วัคซีนรวมป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ เอ และบี ในเข็มเดียวกัน ซึ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 3 ครั้ง ที่ 0,1 และ 6 เดือน
- การฉัดวัคซีนในกลุ่มผู้ป่วยที่กำลังป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี (Progressive state) หรือเป็นแต่ไม่แสดงอาการ (latent) จะไม่สามารถป้องกันโรคได้
- เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีมีระยะการฟักตัวนาน จึงเป็นไปได้ที่อาจไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อระหว่างได้รับวัคซีน ในกรณีนี้อาจทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคได้
- วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้ออื่น ๆ ได้ที่มีผลต่อตับ เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ, ซีและอี
- หากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์