ใส่สายอาหารทางหน้าท้อง (PEG) ต้องดูแลตัวเองอย่างไร นี่คือคำตอบ

พญาไท 3

2 นาที

จ. 20/07/2020

แชร์


Loading...
ใส่สายอาหารทางหน้าท้อง (PEG) ต้องดูแลตัวเองอย่างไร นี่คือคำตอบ

การเจ็บป่วยที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ หรือทานได้น้อยกว่า 60% ของที่ร่างกายควรได้รับ ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนตามมา แพทย์จึงต้องพิจารณาใช้การสอดสายอาหารเพื่อให้สารอาหารลงสู่กระเพาะอาหารโดยตรง ซึ่งวิธีที่เราคุ้นตากันก็คงเป็นการสอดสายอาหารทางจมูก แต่รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันเราสามารถสอดสายอาหารทางหน้าท้องได้ด้วยนะ วันนี้เราจะชวนไปทำความรู้จักวิธีนี้กัน

ทำความรู้จักการใส่สายอาหารทางหน้าท้อง

การใส่สายอาหารทางหน้าท้อง (Percutaneous Endoscopic Gastrostomy หรือ PEG) คือ การทำทางให้สารอาหารผ่านผนังหน้าท้องสู่กระเพาะอาหารโดยตรงโดยใช้การส่องกล้อง เป็นวิธีมาตรฐานของการทำทางให้อาหารระยะกลางถึงยาว ทำได้ง่าย ปลอดภัย ใช้เพียงการฉีดยาชา และมีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยหลายประเภท โดยสารสวนกระเพาะอาหารจะมีทั้งสายแบบยาว และสายแบบสั้นติดผิวหนัง หรือที่เรียกว่า PEG กระดุม

ใครบ้างที่ควรใช้ PEG?

ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใส่สายให้อาหารทางจมูก (สาย NG , nasogastric tube) นานกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรเปลี่ยนมาใช้ PEG เช่น ผู้ป่วยที่กินอาหารทางปากเองไม่ได้ หรือได้น้อยกว่าที่ร่างกายควรได้รับ ผู้ป่วยโรคสมอง ผู้ป่วยกลืนลำบาก ผู้ป่วยเสี่ยงการสำลัก ผู้ป่วยที่ต้องเว้นการกินทางปากบ่อยๆ จนขาดสารอาหาร เช่น เหนื่อยบ่อยจากโรคปอดหรือหัวใจ, ผู้ป่วยโรคมะเร็งปาก คอหอย และหลอดอาหารที่รอการฉายรังสีหรือผ่าตัด เป็นต้น

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ PEG

ข้อดี

  • ลดภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายให้อาหารทางจมูกเป็นเวลานาน อาทิ แผลกดทับจากสายที่ขอบจมูก โพรงจมูก ไซนัสอักเสบ
  • ลดความรำคาญหรือเจ็บจากสายในลำคอ
  • ลดการสำลักอาหารเข้าปอด
  • ลดความถี่ของการต้องเปลี่ยนสายจากทุกเดือนเป็นมากกว่า 6 เดือนครั้ง เนื่องจากสาย PEG ผลิตจากวัสดุที่คงทนกว่า จึงรองรับอาหารได้ดีกว่า และใช้ได้นานกว่า
  • เพิ่มประสิทธิภาพการฝึกกลืน
  • เพื่อความสวยงามเนื่องจากสามารถซ่อนสายไว้ภายในเสื้อผ้าได้
  • กรณีไม่จำเป็นต้องใส่สายต่อไป เช่น หลังฉายรังสีครบ หรือหายจากโรคต้นเหตุจนทำให้กลับมากินทางปากได้ดีปกติ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  ก็สามารถนำสาย PEG ออกโดยแพทย์ และรูแผลจะปิดเองภายใน 2-3 วัน หรือกรณีวันที่กินเองทางปากได้ดี ก็เพียงปิดจุก PEG ไว้ไม่ต้องใช้งาน

ข้อเสีย

  • ผู้ป่วยจะมีแผลเล็กๆ ที่หน้าท้อง และจะรู้เจ็บแผลหลังใส่ครั้งแรกประมาณ 2-3 วัน
  • ต้องมีการดูแลหมุนสาย และทำแผลด้วยน้ำเกลือวันละ1 ครั้ง
  • ค่าใช้จ่ายการทำ ค่าวัสดุสูงกว่า NG โดยเฉพาะในการใส่ครั้งแรก

ขั้นตอนในการใส่สาย PEG มีอะไรบ้างนะ

ก่อนการใส่สายผู้ป่วยทุกรายจะต้องเข้า Admit เพื่อประเมินความพร้อม และเจาะเลือดตรวจการแข็งตัวของเลือด ผู้ป่วยต้องไม่มีการติดเชื้อบริเวณผิวหนังหน้าท้องหรือเคยผ่าตัดกระเพาะมาก่อน การใส่สาย PEG ครั้งแรกจะต้องทำในห้องส่องกล้องหรือห้องผ่าตัด ใช้เวลาในการทำประมาณ 15-30 นาที โดยวิสัญญีแพทย์จะให้ยาเคลิ้มหลับทางหลอดเลือดดำ จากนั้นแพทย์จะส่องกล้องประเมินทางเดินอาหารส่วนบน หากไม่มีข้อห้ามเช่น มีแผลใหญ่ หรือมีมะเร็งกระเพาะ แพทย์ก็จะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่ แล้วทำการเย็บยึดกระเพาะและเจาะรูนำสายระหว่างกระเพาะกับผิวหนังหน้าท้อง

 

หลังการใส่สาย PEG ผู้ป่วยมักฟื้นทันที แต่ต้องอยู่ดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องพักฟื้นประมาณ 1 ชั่วโมง จึงจะสามารถกลับห้องพักได้ โดยทั่วไปแพทย์มักให้งดน้ำและอาหารประมาณ 6-24 ชั่วโมง และปิดแผลแน่น 24 ชั่วโมง จึงจะสามารถเริ่มให้อาหารทาง PEG ได้ในวันถัดไป

 

PEG แต่ละชิ้นมีอายุวัสดุประมาณ 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นกับการดูแลสาย และสิ่งที่ feed ของแต่ละคน โดยจะเริ่มเปลี่ยนได้หลังจากใส่ครั้งแรกเกิน 4 สัปดาห์เป็นต้นไป เพราะทางเชื่อมสมบูรณ์แล้ว เพียงใช้อุปกรณ์เปลี่ยนสาย หรือดูดน้ำในบอลลูนออก เอาสายเก่าออก แล้วเปลี่ยนสายใหม่ การเปลี่ยนสายจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที สามารถเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล

แผลจะติดเชื้อไหม ต้องดูแลแผลอย่างไรบ้าง?

ขอบรูแผลอาจจะมีน้ำ นม หรือเลือดซึมได้เล็กน้อยไม่เกิน แนะนำให้รองผ้าก๊อซขนาดเล็กไว้หลังทำแผลและตั้งสายให้ตรง ตั้งฉากและตรึงแน่นไม่ขยับระหว่างวัน โอกาสติดเชื้อจากการทำ PEG นั้นน้อยกว่า 1% ส่วนใหญ่จะเกิดจากที่ผู้ป่วยไม่ได้ดูแลสาย ไม่หมุนสายมานานจนสายติดฝัง หมุนไม่ได้ จึงใส่อาหารไม่ค่อยเข้า ดังนั้นจึงต้องหมั่นดูแลสายให้ถูกวิธีดังต่อไปนี้

  • ก่อนทำความสะอาดแผลทุกครั้ง ต้องล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
  • ระยะ 1-2 สัปดาห์แรกหลังใส่สายให้อาหารครั้งแรก ควรทำความสะอาดแผลทุกวันโดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดรอบแผลจนสะอาด ซับให้แห้ง แล้ววางผ้าก๊อซปราศจากเชื้อทั้งสองข้าง จากนั้นแปะพลาสเตอร์ชิดตัวสายให้ตั้งฉาก เพื่อตรึงไม่ให้สายโยกขยับระหว่างวัน
  • เมื่อแผลแห้ง สามารถอาบน้ำได้ โดยให้ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือหรือน้ำต้มสุก เช็ดปิดแผลอีกครั้งหลังอาบน้ำ
  • มาพบแพทย์ตามคำแนะนำ ทุกประมาณ 3-6 เดือน เพื่อดูแล ตกแต่งแผล และเปลี่ยนสาย

ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ

  • ควรเปลี่ยนสายทุก 6 เดือน หรือเมื่อสายบวม ตัน แตก หมดสภาพ
  • หากไม่ได้ใช้สาย ควรไล่น้ำเปล่า 30-50 cc อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • ทำความสะอาด ปาก ลิ้น และฟัน ของผู้ป่วยทุกวันถึงแม้จะไม่ได้ให้อาหารทางปาก เพื่ออนามัยที่ดี
  • แม้จะใส่ PEG แต่หากผู้ป่วยสามารถกินอาหารทางปากได้ ก็ให้ทานทางปากตามปกติ

แชร์

Loading...
Loading...
Loading...