NG tube หรือ Nasogastric Tube หมายถึง การใส่ท่อสายยางผ่านระหว่างรูจมูกลงไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งมักใช้เป็นทางเลือกแรกเมื่อจำเป็นต้องให้อาหารในผู้ที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้เองเพียงพอ และยังมีการทำงานของระบบทางเดินอาหารปกติ โดยมักให้ในระยะสั้นไม่เกิน 4 สัปดาห์
แต่หากจำเป็นต้อง ได้รับอาหารทางสายยาง นานเกินกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรพิจารณาเปลี่ยนเป็นสายให้อาหารผ่านผนังหน้าท้อง (gastrostomy or PEG) เพื่อลดผลกระทบต่อเยื่อบุจมูกและคอจากการคาสายให้อาหารทางจมูกเป็นเวลานาน ลดโอกาสสำลัก และลดความถี่การเปลี่ยนสาย
ใครบ้างที่ควรให้อาหารทางสายยาง (NG tube) ?
- ผู้ที่รับประทานอาหารทางปากไม่ได้ หรือทานได้น้อยกว่า 60% ของพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน นานติดต่อกันเกิน 3-7 วัน
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการกลืน และสำลักอาหาร
- ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร
- ผู้ที่ไม่รู้สึกตัว หรือไม่ยอมรับประทานทางปาก รวมไปถึงผู้ที่เป็นโรคทางจิตเวช เช่น Anorexia nervosa หรือ โรคสมองเสื่อม เช่น Dementia, Alzheimer, Stroke
ให้อาหารทางสายยางต้องให้อย่างไร?
เวลาการให้อาหาร (Feeding) โดยทั่วไปแนะนำให้กำหนดเป็นมื้อ ห่างกัน 4-6 ชั่วโมง หรือวันละ 4 มื้อ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ล้างมือให้สะอาด เช็ดมือให้แห้ง จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่านั่ง หรือท่านอนหงายศีรษะสูงกึ่งนั่ง หากผู้ป่วยมีเสมหะให้ไอหรือดูดเสมหะออกให้หมดก่อนให้อาหารทุกครั้ง
- เช็กตำแหน่งของสาย ที่ขอบจมูกว่าอยู่ในตำแหน่งเดิมหรือไม่ รวมถึงเช็กสภาพพลาสเตอร์ยึดติดสายด้วย
- พับสายให้อาหารก่อนเปิดจุกสายทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ของเหลวไหลย้อนจากกระเพาะเมื่อเปิดจุก
- ทดสอบการรับ Feed ว่ามีอาหารค้างในกระเพาะอาหารหรือไม่ โดยต่อปลายสายให้อาหารกับกระบอกสูบ 50 มิลลิลิตร (feeding syringe) แล้วใช้กระบอกสูบดูดอาหารออกมา
- ถ้าได้ปริมาณมากกว่า 50 ซีซี ให้ดันอาหารกลับเข้าไปและเลื่อนเวลาให้อาหารออกไปอีก 1 ชั่วโมง
- ถ้าได้ปริมาณน้อยกว่า 50 ซีซี ให้ดันอาหารกลับเข้าไปและให้อาหารมื้อนั้นได้
- ถ้าดูดแล้วไม่พบอะไรออกมา ให้ทดสอบโดยการดันลมเข้าไป 5-10 ml ขณะดันลมให้ใช้ฝ่ามือหรือแนบหูเพื่อฟังเสียงลมบริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ถ้าได้ยินเสียงลมแสดงว่าสามารถให้อาหารได้
- กรณีให้อาหารด้วยกระบอก (Syringe) ให้ปลดกระบอกสูบออกจากสาย นำเอาลูกสูบออก แล้วต่อกระบอกกับสายอีกครั้ง จากนั้นเทอาหารใส่กระบอกให้อาหาร ยกกระบอกสูงกว่าตัวผู้ป่วยประมาณ 1 ฟุต ให้อาหารไหลช้าๆ เติมอาหารเมื่อใกล้หมด เพื่อไม่ให้อากาศเข้า
- กรณีให้อาหารด้วยถุงให้อาหาร (Bag) ให้ต่อสายจากถุงอาหาร เข้ากับสายให้อาหาร ปรับอัตราไหล โดยการให้อาหารหนึ่งมื้อ ควรใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที ไม่ควรให้เร็วเกินไป ขณะให้อาหารหากผู้ป่วยมีอาการสำลัก คลื่นไส้อาเจียน หรือไอ ควรหยุดให้อาหารซักครู่ โดยการพับสายให้อาหารที่ปลายกระบอกสูบ เมื่ออาการดีขึ้นจึงให้อาหารต่อไป
- การให้ยาก่อนหรือหลังอาหาร ถ้ามียาหลายชนิดควรแยกบดแล้วผสมน้ำเปล่า 5-10 ml ห้ามผสมยาลงในอาหารเด็ดขาด โดยควรให้น้ำเปล่าตามอีกอย่างน้อย 50 ml เป็นอย่างสุดท้ายทุกครั้ง ยกปลายสายขึ้นสูงเพื่อไล่สายให้สะอาด พับสายให้อาหารแล้ว แล้วปลดกระบอกออก เช็ดปลายสายให้อาหาร และปิดจุกให้อาหาร
- ให้ผู้ป่วยนั่งศีรษะสูง หลังให้อาหาร 30-60 นาทีเพื่อป้องกันการสำลัก
ดูแลสายให้อาหารอย่างไรไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
- ดูแลบริเวณจมูกและช่องปาก เช็ดจมูกด้วยน้ำเกลือทุกวัน ทำความสะอาดปากและฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยให้ผู้ป่วยแปรงฟัน บ้วนปาก ใช้สําลี ผ้าชุบน้ำ เช็ดให้สะอาด ถ้าไม่สามารถบ้วนปากเองได้ ให้เปลี่ยนตำแหน่งพลาสเตอร์เพื่อป้องกันแผลกดทับ และหมั่นสำรวจผิวหนังรอบๆ รูจมูกบ่อยๆ ว่ามีบาดแผลหรือไม่
- ควรปิดจุกสายยางให้แน่น เพื่อป้องกันอาหารจากกระเพาะอาหารไหลย้อนออกมา และภายหลังการให้อาหารควรเช็ดคราบอาหารที่ปลายจุกด้วยผ้าสะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้มดขึ้น
- ตรวจเช็กตำแหน่งของสายให้อยู่ตำแหน่งเดิมทุกครั้ง ก่อนเริ่มให้อาหาร ควรดูพลาสเตอร์ที่ติดสายยางกับจมูกควรให้ติดแน่น ระวังสายเลื่อนหรือหลุดออก ควรจำขีดความยาวของสายที่ขอบจมูก หรือบันทึกไว้ ถ้าสายผิดตำแหน่ง หรือเลื่อนหลุด ควรปรึกษาพยาบาลหรือแพทย์
ข้อดีของการใส่ NG tube หรือการให้อาหารทางสายยาง
- ใส่ง่ายและสะดวก ค่าใช้จ่ายไม่แพง
- ใช้เวลาใส่ไม่นาน ไม่ต้องมีการผ่าตัด สามารถไปเปลี่ยนสายให้ที่บ้านได้
- ผู้ป่วยได้รับสารอาหารได้อย่างเต็มที่ ตามที่ร่างกายควรได้รับ
- ดูแลง่าย ไม่ต้องทำแผลทุกวัน
ข้อเสียของการใส่ NG tube หรือการให้อาหารทางสายยาง
- ระคายเคืองจมูก และคอ ผู้สูงอายุบางรายอาจทนไม่ได้ และอาจดึง จนต้องใส่บ่อยๆ หรือต้องมัดมือเพื่อความปลอดภัย
- สายยางเลื่อนหลุดออกจากตำแหน่งของกระเพาะอาหารได้ง่าย ทำให้ต้องใส่ใหม่
- ต้องปลี่ยนสายบ่อย ทุก 2-4 สัปดาห์
- เวลาใส่สายใหม่ทุกครั้ง อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บ กระตุ้นการสำลัก หรืออาจทำให้ปอดอักเสบได้
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก NG tube อาทิ แผลกดทับของสายกับเนื้อบริเวณจมูก รูจมูก และไซนัสอักเสบ อาจเกิดหูอื้อ หูชั้นกลางอักเสบได้ หรืออาจมีอาหารบางส่วนย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นมาจนสำลักได้
- บางรายอาจรู้สึกว่ากลืนน้ำลายได้ไม่ปกติ เจ็บคอ กินอาหารทางปากลำบาก ฝึกกลืนยาก
- ทำให้สูญเสียภาพลักษณ์ภายนอก