โภชนบำบัดคืออะไร

พญาไท 3

2 นาที

พ. 25/03/2020

แชร์


Loading...
โภชนบำบัดคืออะไร

โภชนบำบัด หมายถึง การให้อาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ และจัดให้ถูกหลักโภชนาการ โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ ช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดเวลานอนโรงพยาบาล รวมทั้งป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ได้รับการรักษาโรค

ใครนะ ถึงต้องได้รับโภชนบำบัด

  • มีภาวะขาดสารอาหารหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร เช่น กินอาหารได้น้อยลงเกิน 7 วัน น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 หรือ มากกว่า 25
  • กินอาหารได้ไม่เพียงพอหรือคาดว่าจะไม่เพียงพอ (น้อยกว่า ร้อยละ 60) กับความต้องการของร่างกายเกิน 7 วัน เช่น การผ่าตัดทางเดินอาหาร, การให้เคมีบำบัด
  • มีสัญญาณชีพคงที่

ให้ทางไหนดี

“ถ้าทางเดินอาหารยังใช้ได้   ให้ทางเดินอาหารดีกว่า”

  • ทางระบบทางเดินอาหาร จะให้เมื่อระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยสามารถทำงานได้ปกติและไม่มีข้อห้าม
  • กินเองได้ แต่อาหารไม่เหมาะสม เช่น ไม่มีประโยชน์ กินจุบจิบ ไม่เหมาะกับโรคประจำตัว

แก้ไขโดย ปรับลักษณะอาหารให้เหมาะกับโรค ทั้งชนิด ปริมาณ คุณภาพ และวิถีชีวิต ความชอบ

  • กินเองทางปากได้ แต่น้อย ไม่เพียงพอ

แก้ไขโดย ONS : oral nutritional support หรืออาหารทางการแพทย์ ดื่มเสริมจากอาหารที่กินปกติ มักมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แต่แตกต่างที่สัดส่วน จึงใช้แทนอาหารหลักได้ มักมีรสชาติที่กินทางปากง่ายกว่าอาหารปั่นผสม

วิธีเลือกให้เลือกตามโรคประจำตัว เช่น สูตรปกติ สูตรเบาหวาน สูตรมะเร็ง สูตรโรคไต เป็นต้น ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ และหาได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านออนไลน์ โดยอาจชงด้วยความเข้มข้น 1 ml : 1 kcal ตามคำแนะนำข้างกระป๋องนั้น ๆ ให้ได้ปริมาณ 200-300 วันละ 3-4 มื้อ หรือตามที่แพทย์แนะนำ

  • กินเองทางปากได้ น้อย และดื่มอาหารทางการแพทย์ไม่ได้ หรือได้ไม่เพียงพอ

แก้ไขโดย ใส่สายให้อาหารเข้าทางเดินอาหาร แล้วให้เป็นอาหารทางการแพทย์ หรืออาหารปั่นผสม

อาหารปั่นผสม คือ อาหารที่ประกอบด้วยอาหารหลายชนิดทั้ง 5 หมู่ เช่น หมู อกไก่ ฟักทอง ไข่ ผัก นำมาปั่นเข้าด้วยกันจนมีลักษณะเป็นของเหลวสามารถผ่านสายให้อาหารเข้าสู่ร่างกาย โดยผสมตามสูตรที่นักกำหนดอาหารออกแบบให้แต่ละคนเพื่อให้มีคุณค่าทางด้านโภชนาการเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

การให้กินรังนก ซุปไก่สกัด นมกระป๋อง หรือนมกล่อง ผลไม้ ขนม จึงไม่ให้พลังงานและสารอาหารที่ครบถ้วน และไม่นับเป็นอาหารหลักที่ควรได้รับ อีกทั้งอาจมีความหวาน หรือโซเดียมสูง ไม่เหมาะกับบางโรค

สายให้อาหาร มีหลายแบบ โดยมีหลักการเลือกใส่ให้ตามความเหมาะสม ดังนี้

  • ปลายสายอยู่ในกระเพาะอาหาร
    • ใช้สายระยะเวลาน้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางจมูก ด้วยสาย NG (Nasogastric tube)
    •  ใช้สายระยะเวลานานกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางผนังหน้าท้อง หรือสาย PEG, Gastrostomy
  • ปลายสายอยู่ในลำไส้เล็ก ใช้เฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการสูดสำลักสูง ใช้กระเพาะอาหารไม่ได้ เช่น มะเร็งกระเพาะ อาหารค้างกระเพาะปริมาณมาก
    • ใช้สายระยะเวลาน้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางจมูก ด้วยสาย NJ (Nasojejunal tube)
    • ใช้สายระยะเวลานานกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางผนังหน้าท้อง หรือสาย PEG-J, Open Jejunostomy

การเปลี่ยนเป็นเจาะที่ผนังหน้าท้องแทนทางจมูก สำหรับเมื่อต้องใส่สายนานๆนั้นเพื่อลดภาวะสายกดจมูก แผลกดทับ สำลัก และไม่ต้องเปลี่ยนสายบ่อย โดยเมื่อกลับมากินทางปากได้ดีก็สามารถดึงสายออกแล้วแผลจะปิดได้เอง เป็นหัตถการเล็กโดยการส่องกล้องทางปาก ปลอดภัยในทุกอายุ โอกาสติดเชื้อต่ำมาก ใช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ จึงเป็นวิธีมาตราฐานในปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

    1. ทางหลอดเลือดดำ จะให้เมื่อทางเดินอาหารใช้การไม่ได้ เช่น ลำไส้อุดตัน เลือดออกทางเดินอาหาร หลังผ่าตัดทางเดินอาหาร หรือให้เสริมในผู้ป่วยขาดสารอาหารที่กำลังปรับการกินอาหารทางปาก มีความซับซ้อน และข้อควรระวังมากกว่า
    2. ให้ทางเส้นเลือดดำส่วนปลาย เช่น เส้นที่แขน ขา ใช้เมื่อให้น้อยกว่า 2 สัปดาห์
    3. ให้ทางเส้นเลือดดำส่วนกลาง เช่น เส้นที่คอ หรือ หน้าอก ใช้เมื่อให้นานกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากเส้นขนาดใหญ่กว่า  ลดโอกาสติดเชื้อ และไม่ต้องเปลี่ยนเส้นบ่อย

ให้เท่าไหร่ดี

คนทั่วไปควรได้รับอาหารที่มีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการร่างกาย โดยขึ้นอยู่กับอายุ เพศ น้ำหนัก และกิจกรรมที่ทำของแต่ละคน โดยการคำนวณอย่างง่าย สามารถคำนวนได้เองจากน้ำหนัก โดยพลังงานที่ควรได้คือ 30-35 kcal/kg/day และได้รับโปรตีน 1.2 – 1.5 g/kg/day และได้สารอาหารครบ 5 หมู่ และพิจารณากับโรคประจำตัวด้วย เช่น ลดหวาน แป้ง ในโรคเบาหวาน ลดมันในโรคไขมันในเลือดสูง ลดเค็มในโรคความดันโลหิตสูง

ตัวอย่างเช่น คุณแม่สมศรี ไม่มีโรคประจำตัว สูง 160 cm น้ำหนัก 45 kg กินอาหารได้น้อยมาสองสัปดาห์ สังเกตว่าผอมลง

คำนวนดัชนีมวลกาย BMI ของคุณแม่สมศรี คิดจาก น้ำหนัก หาร ส่วนสูงกำลังสอง

BMI = 45÷1.6÷1.6 = 17.5 kg/m2

พลังงานที่ควรได้รับ 30-35 kcal/kg/day คิดน้ำหนักปัจจุบันขณะที่ไม่บวม ต่อวัน

Goal kcal = 45 x 30 ถึง 45 x 35 = 1350 ถึง 1575 kcal

ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับ 1.2 – 1.5 g/kg น้ำหนักปัจจุบัน ต่อวัน

Goal protein = 45 x 1.2 ถึง 45 x 1.5 = 54 ถึง 67.5 g

ดังนั้นปริมาณอาหารที่คุณแม่สมศรีควรได้รับต่อวันคือประมาณ 1400 kcal, protein 60 g เช่น หากรับอาหารจากสายทั้งหมด ควรให้อาหารปั่น หรืออาหารทางการแพทย์ ความเข้มข้น 1:1 ที่ 350 ml เป็นจำนวน 4 มื้อ

 

หากกินทางปากได้ 50% อาจให้กินอาหารเสริม 200 ml เป็นจำนวน 4 มื้อ เป็นต้น

 

ผู้ขาดสารอาหารมานาน ส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะ มักมีภาวะเกลือแร่ผิดปกติ จำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือด และแก้ไข ก่อนและระหว่างการปรับสูตรอาหาร บางรายอาจต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับอาหาร จนถึงสูตรที่เหมาะสมต่อความต้องการร่างกาย ความร่วมมือจากญาติ และผู้ป่วยจึงสำคัญมาก

 

เมื่อสงสัยไม่ควรรีรอ การปล่อยให้มีภาวะขาดสารอาหารสะสมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ยิ่งทำให้สภาพร่างกายเสื่อมถอย อวัยวะทรุดโทรมลง กล้ามเนื้อลีบฝ่อ จนน้ำหนักลด เมื่อรักษาก็ยิ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว บางคนเกิดภาวะขาดน้ำจนไตวาย ผอมซูบ ไม่มีแรง หรือต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ติดเชื้อ เกิดแผลกดทับตามปุ่มกระดูก อาจรุนแรงถึงชีวิต

 

หากสงสัยว่าคนใกล้ตัวของคุณ จำเป็นต้องได้รับการดูแลด้านโภชนาการเพิ่มเติม แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์หรือทีมโภชนาการ เพื่อแนะนำโภชนบำบัดเหมาะสมโดยเร็วนะคะ

 

กินดี แข็งแรง ลดโรค ป่วยก็หาย อายุยืนยาว อยู่กับคนที่เรารักได้นาน อย่างมีความสุข


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...