โภชนบำบัด หมายถึง การให้อาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ และจัดให้ถูกหลักโภชนาการ โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ ช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดเวลานอนโรงพยาบาล รวมทั้งป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ได้รับการรักษาโรค
ใครนะ ถึงต้องได้รับโภชนบำบัด
- มีภาวะขาดสารอาหารหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร เช่น กินอาหารได้น้อยลงเกิน 7 วัน น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 หรือ มากกว่า 25
- กินอาหารได้ไม่เพียงพอหรือคาดว่าจะไม่เพียงพอ (น้อยกว่า ร้อยละ 60) กับความต้องการของร่างกายเกิน 7 วัน เช่น การผ่าตัดทางเดินอาหาร, การให้เคมีบำบัด
- มีสัญญาณชีพคงที่
ให้ทางไหนดี
“ถ้าทางเดินอาหารยังใช้ได้ ให้ทางเดินอาหารดีกว่า”
- ทางระบบทางเดินอาหาร จะให้เมื่อระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยสามารถทำงานได้ปกติและไม่มีข้อห้าม
- กินเองได้ แต่อาหารไม่เหมาะสม เช่น ไม่มีประโยชน์ กินจุบจิบ ไม่เหมาะกับโรคประจำตัว
แก้ไขโดย ปรับลักษณะอาหารให้เหมาะกับโรค ทั้งชนิด ปริมาณ คุณภาพ และวิถีชีวิต ความชอบ
- กินเองทางปากได้ แต่น้อย ไม่เพียงพอ
แก้ไขโดย ONS : oral nutritional support หรืออาหารทางการแพทย์ ดื่มเสริมจากอาหารที่กินปกติ มักมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แต่แตกต่างที่สัดส่วน จึงใช้แทนอาหารหลักได้ มักมีรสชาติที่กินทางปากง่ายกว่าอาหารปั่นผสม
วิธีเลือกให้เลือกตามโรคประจำตัว เช่น สูตรปกติ สูตรเบาหวาน สูตรมะเร็ง สูตรโรคไต เป็นต้น ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ และหาได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านออนไลน์ โดยอาจชงด้วยความเข้มข้น 1 ml : 1 kcal ตามคำแนะนำข้างกระป๋องนั้น ๆ ให้ได้ปริมาณ 200-300 วันละ 3-4 มื้อ หรือตามที่แพทย์แนะนำ
- กินเองทางปากได้ น้อย และดื่มอาหารทางการแพทย์ไม่ได้ หรือได้ไม่เพียงพอ
แก้ไขโดย ใส่สายให้อาหารเข้าทางเดินอาหาร แล้วให้เป็นอาหารทางการแพทย์ หรืออาหารปั่นผสม
อาหารปั่นผสม คือ อาหารที่ประกอบด้วยอาหารหลายชนิดทั้ง 5 หมู่ เช่น หมู อกไก่ ฟักทอง ไข่ ผัก นำมาปั่นเข้าด้วยกันจนมีลักษณะเป็นของเหลวสามารถผ่านสายให้อาหารเข้าสู่ร่างกาย โดยผสมตามสูตรที่นักกำหนดอาหารออกแบบให้แต่ละคนเพื่อให้มีคุณค่าทางด้านโภชนาการเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
การให้กินรังนก ซุปไก่สกัด นมกระป๋อง หรือนมกล่อง ผลไม้ ขนม จึงไม่ให้พลังงานและสารอาหารที่ครบถ้วน และไม่นับเป็นอาหารหลักที่ควรได้รับ อีกทั้งอาจมีความหวาน หรือโซเดียมสูง ไม่เหมาะกับบางโรค
สายให้อาหาร มีหลายแบบ โดยมีหลักการเลือกใส่ให้ตามความเหมาะสม ดังนี้
- ปลายสายอยู่ในกระเพาะอาหาร
- ใช้สายระยะเวลาน้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางจมูก ด้วยสาย NG (Nasogastric tube)
- ใช้สายระยะเวลานานกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางผนังหน้าท้อง หรือสาย PEG, Gastrostomy
- ปลายสายอยู่ในลำไส้เล็ก ใช้เฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการสูดสำลักสูง ใช้กระเพาะอาหารไม่ได้ เช่น มะเร็งกระเพาะ อาหารค้างกระเพาะปริมาณมาก
- ใช้สายระยะเวลาน้อยกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางจมูก ด้วยสาย NJ (Nasojejunal tube)
- ใช้สายระยะเวลานานกว่า 4-6 สัปดาห์ ควรใส่สายผ่านทางผนังหน้าท้อง หรือสาย PEG-J, Open Jejunostomy
การเปลี่ยนเป็นเจาะที่ผนังหน้าท้องแทนทางจมูก สำหรับเมื่อต้องใส่สายนานๆนั้นเพื่อลดภาวะสายกดจมูก แผลกดทับ สำลัก และไม่ต้องเปลี่ยนสายบ่อย โดยเมื่อกลับมากินทางปากได้ดีก็สามารถดึงสายออกแล้วแผลจะปิดได้เอง เป็นหัตถการเล็กโดยการส่องกล้องทางปาก ปลอดภัยในทุกอายุ โอกาสติดเชื้อต่ำมาก ใช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ จึงเป็นวิธีมาตราฐานในปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
-
- ทางหลอดเลือดดำ จะให้เมื่อทางเดินอาหารใช้การไม่ได้ เช่น ลำไส้อุดตัน เลือดออกทางเดินอาหาร หลังผ่าตัดทางเดินอาหาร หรือให้เสริมในผู้ป่วยขาดสารอาหารที่กำลังปรับการกินอาหารทางปาก มีความซับซ้อน และข้อควรระวังมากกว่า
- ให้ทางเส้นเลือดดำส่วนปลาย เช่น เส้นที่แขน ขา ใช้เมื่อให้น้อยกว่า 2 สัปดาห์
- ให้ทางเส้นเลือดดำส่วนกลาง เช่น เส้นที่คอ หรือ หน้าอก ใช้เมื่อให้นานกว่า 2 สัปดาห์ เนื่องจากเส้นขนาดใหญ่กว่า ลดโอกาสติดเชื้อ และไม่ต้องเปลี่ยนเส้นบ่อย
ให้เท่าไหร่ดี
คนทั่วไปควรได้รับอาหารที่มีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการร่างกาย โดยขึ้นอยู่กับอายุ เพศ น้ำหนัก และกิจกรรมที่ทำของแต่ละคน โดยการคำนวณอย่างง่าย สามารถคำนวนได้เองจากน้ำหนัก โดยพลังงานที่ควรได้คือ 30-35 kcal/kg/day และได้รับโปรตีน 1.2 – 1.5 g/kg/day และได้สารอาหารครบ 5 หมู่ และพิจารณากับโรคประจำตัวด้วย เช่น ลดหวาน แป้ง ในโรคเบาหวาน ลดมันในโรคไขมันในเลือดสูง ลดเค็มในโรคความดันโลหิตสูง
ตัวอย่างเช่น คุณแม่สมศรี ไม่มีโรคประจำตัว สูง 160 cm น้ำหนัก 45 kg กินอาหารได้น้อยมาสองสัปดาห์ สังเกตว่าผอมลง
คำนวนดัชนีมวลกาย BMI ของคุณแม่สมศรี คิดจาก น้ำหนัก หาร ส่วนสูงกำลังสอง
BMI = 45÷1.6÷1.6 = 17.5 kg/m2
พลังงานที่ควรได้รับ 30-35 kcal/kg/day คิดน้ำหนักปัจจุบันขณะที่ไม่บวม ต่อวัน
ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับ 1.2 – 1.5 g/kg น้ำหนักปัจจุบัน ต่อวัน
Goal protein = 45 x 1.2 ถึง 45 x 1.5 = 54 ถึง 67.5 g
ดังนั้นปริมาณอาหารที่คุณแม่สมศรีควรได้รับต่อวันคือประมาณ 1400 kcal, protein 60 g เช่น หากรับอาหารจากสายทั้งหมด ควรให้อาหารปั่น หรืออาหารทางการแพทย์ ความเข้มข้น 1:1 ที่ 350 ml เป็นจำนวน 4 มื้อ
หากกินทางปากได้ 50% อาจให้กินอาหารเสริม 200 ml เป็นจำนวน 4 มื้อ เป็นต้น
ผู้ขาดสารอาหารมานาน ส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะ มักมีภาวะเกลือแร่ผิดปกติ จำเป็นต้องได้รับการตรวจเลือด และแก้ไข ก่อนและระหว่างการปรับสูตรอาหาร บางรายอาจต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับอาหาร จนถึงสูตรที่เหมาะสมต่อความต้องการร่างกาย ความร่วมมือจากญาติ และผู้ป่วยจึงสำคัญมาก
เมื่อสงสัยไม่ควรรีรอ การปล่อยให้มีภาวะขาดสารอาหารสะสมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ยิ่งทำให้สภาพร่างกายเสื่อมถอย อวัยวะทรุดโทรมลง กล้ามเนื้อลีบฝ่อ จนน้ำหนักลด เมื่อรักษาก็ยิ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว บางคนเกิดภาวะขาดน้ำจนไตวาย ผอมซูบ ไม่มีแรง หรือต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ติดเชื้อ เกิดแผลกดทับตามปุ่มกระดูก อาจรุนแรงถึงชีวิต
หากสงสัยว่าคนใกล้ตัวของคุณ จำเป็นต้องได้รับการดูแลด้านโภชนาการเพิ่มเติม แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์หรือทีมโภชนาการ เพื่อแนะนำโภชนบำบัดเหมาะสมโดยเร็วนะคะ
กินดี แข็งแรง ลดโรค ป่วยก็หาย อายุยืนยาว อยู่กับคนที่เรารักได้นาน อย่างมีความสุข